อธิบายคำว่า PoD กับ USP ศัพท์การตลาด ที่ต้องเข้าใจ เพื่อสร้างแบรนด์ ให้เป็นตัวเอง
17 ต.ค. 2024
“อยากขายดี สินค้าต้องแตกต่าง”
คำบอกเล่าที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินว่า ถ้าอยากให้สินค้าขายดี หรือธุรกิจประสบความสำเร็จ อย่างแรกคือ สินค้าต้องแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ
คำบอกเล่าที่หลาย ๆ คนเคยได้ยินว่า ถ้าอยากให้สินค้าขายดี หรือธุรกิจประสบความสำเร็จ อย่างแรกคือ สินค้าต้องแตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ
ในทฤษฎีการตลาด การสร้างความแตกต่างให้สินค้าหรือธุรกิจ มีด้วยกัน 2 ทฤษฎี คือ
- PoD ย่อมาจาก Point of Difference
- USP ย่อมาจาก Unique Selling Proposition หรือ Unique Selling Point
- PoD ย่อมาจาก Point of Difference
- USP ย่อมาจาก Unique Selling Proposition หรือ Unique Selling Point
แล้วทั้ง 2 ทฤษฎีที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ ต่างกันในมุมไหนบ้าง ?
- เริ่มกันที่ PoD หรือ Point of Difference
PoD เป็นทฤษฎีที่บอกว่า การที่แบรนด์จะโดดเด่นกว่าคู่แข่งได้ ต้องมีความแตกต่าง
แต่ก่อนที่แบรนด์จะแตกต่างจากคู่แข่งได้ ก็ต้องมาคู่กับ PoP (Point of Parity) หรือจุดที่เหมือนกับคู่แข่งด้วย
แต่ก่อนที่แบรนด์จะแตกต่างจากคู่แข่งได้ ก็ต้องมาคู่กับ PoP (Point of Parity) หรือจุดที่เหมือนกับคู่แข่งด้วย
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ เช่น iPhone ของ Apple
PoP หรือจุดที่ iPhone เหมือนกับแบรนด์อื่น ๆ
คือ มีฟีเชอร์พื้นฐานเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น โทรเข้า-ออกได้, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้, มีแอปพลิเคชันรองรับหลากหลาย และมีกล้องที่ใช้งานได้ดี
คือ มีฟีเชอร์พื้นฐานเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น โทรเข้า-ออกได้, เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้, มีแอปพลิเคชันรองรับหลากหลาย และมีกล้องที่ใช้งานได้ดี
แต่เมื่อมีเพียง PoP อาจยังทำให้ iPhone โดดเด่นกว่าแบรนด์สมาร์ตโฟนอื่น ๆ ไม่เพียงพอ
ดังนั้นจึงต้องมี PoD หรือจุดที่ทำให้ iPhone แตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ มาเสริม
เช่น
- ภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) ที่ดูพรีเมียม ทันสมัย ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของผู้ใช้งานให้ดูดี
- การมี Ecosystem อย่าง AirDrop, AirPods, iPad ให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้แบบง่าย ๆ
- ภาพลักษณ์ของแบรนด์ (Brand Image) ที่ดูพรีเมียม ทันสมัย ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของผู้ใช้งานให้ดูดี
- การมี Ecosystem อย่าง AirDrop, AirPods, iPad ให้ผู้ใช้งานสามารถใช้งานและเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าด้วยกันได้แบบง่าย ๆ
จากตัวอย่างนี้ของ iPhone จะเห็นได้ว่า แบรนด์หนึ่งแบรนด์ หรือสินค้าหนึ่งชิ้น ไม่จำเป็นต้องมี PoD หรือจุดที่แตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ เพียงแค่จุดเดียว
และจุดที่แตกต่างก็ไม่จำเป็นต้องแตกต่างที่ตัวสินค้าเพียงอย่างเดียวเช่นกัน
แต่การสร้างความแตกต่าง หรือ PoD ให้กับแบรนด์และสินค้าสามารถมีได้หลายข้อ และมีได้หลากหลาย ได้แก่
แต่การสร้างความแตกต่าง หรือ PoD ให้กับแบรนด์และสินค้าสามารถมีได้หลายข้อ และมีได้หลากหลาย ได้แก่
1. แตกต่างด้วยตัวสินค้า (Product Differentiate)
เช่น ไดร์เป่าผม Dyson ที่นอกจากแตกต่างจากคู่แข่งด้วยดิไซน์เรียบหรูแล้ว ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีอย่าง Dyson Supersonic ช่วยให้ผมนุ่มลื่น และลดผมชี้ฟู
2. แตกต่างด้านการบริการ (Service Differentiate)
เช่น Starbucks ที่นอกจากจะเป็นร้านกาแฟแล้ว ยังโดดเด่นเรื่องการบริการ ทั้งความใส่ใจของพนักงาน ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศร้านให้เป็นเหมือนแหล่งนัดพบและนั่งพูดคุยสำหรับลูกค้า
3. แตกต่างด้านภาพลักษณ์ (Brand Image Differentiate)
เช่น แบรนด์หรู ที่ถึงแม้จะมีสินค้าเหมือนกับแบรนด์อื่น ๆ ในตลาด แต่ที่แตกต่างคือ ส่วนใหญ่แล้วจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้ผู้ใช้งาน
4. แตกต่างด้านช่องทางการจัดจำหน่าย (Distribution Differentiate)
เช่น Shopee แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ ที่มีช่องทางการจัดจำหน่ายแตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นด้วย บริการส่งด่วน (Express Delivery) ที่สินค้าจะถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว ภายใน 5 ชั่วโมง
5. แตกต่างด้านบุคลากร (Personal Differentiate)
เช่น Apple ที่มีการเทรนพนักงานให้สามารถตอบคำถามและให้ความรู้เกี่ยวกับสินค้าของแบรนด์ได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังมี Genius Bar ที่ช่วยแก้ปัญหาทางเทคนิคต่าง ๆ และให้คำปรึกษาแก่ลูกค้าด้วย
- ส่วน USP หรือ Unique Selling Proposition หรือที่บางคนก็เรียกว่า Unique Selling Point
ถ้าแปลตรง ๆ จะมีความหมายว่า “จุดขายเฉพาะ”
เป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยสร้างความแตกต่าง ให้แบรนด์โดดเด่น ไม่เหมือนคู่แข่ง และทำให้แบรนด์สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เป็นเครื่องมือการตลาดที่ช่วยสร้างความแตกต่าง ให้แบรนด์โดดเด่น ไม่เหมือนคู่แข่ง และทำให้แบรนด์สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจุดขายเฉพาะที่ว่านี้ ต้องเป็นสิ่งที่คู่แข่ง “ไม่สามารถเลียนแบบได้” และ “มีเพียงข้อเดียว” ก็เพียงพอแล้ว
โดยแบรนด์สามารถหา USP ได้ ผ่านการตอบคำถามสำคัญ 3 ข้อ ได้แก่
- ลูกค้าต้องการอะไร ?
- สิ่งที่แบรนด์ของเรา ให้ลูกค้าได้คืออะไร ?
- สิ่งที่แบรนด์ของคู่แข่ง ให้ลูกค้าได้คืออะไร ?
- ลูกค้าต้องการอะไร ?
- สิ่งที่แบรนด์ของเรา ให้ลูกค้าได้คืออะไร ?
- สิ่งที่แบรนด์ของคู่แข่ง ให้ลูกค้าได้คืออะไร ?
เมื่อลิสต์คำตอบออกมา แล้วพบว่า สิ่งไหนที่แบรนด์ของเราสามารถให้ลูกค้าได้ ตรงกับความต้องการของลูกค้า และแบรนด์อื่นให้ลูกค้าไม่ได้
สิ่งนั้นคือ Winning Zone หรือตำแหน่งที่แบรนด์ของเราได้เปรียบ ซึ่งก็คือ USP หรือจุดขายเฉพาะของแบรนด์เรานั่นเอง
ยกตัวอย่าง USP ของแบรนด์ดัง เช่น
- M&M's ที่มาพร้อมกับสโลแกน “It melts in your mouth, not in your hands”
หรือแปลง่าย ๆ ว่า ช็อกโกแลต M&M's ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ ซึ่งเป็นจุดขายเฉพาะ หรือ USP ที่แบรนด์ช็อกโกแลตอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้
หรือแปลง่าย ๆ ว่า ช็อกโกแลต M&M's ละลายในปาก ไม่ละลายในมือ ซึ่งเป็นจุดขายเฉพาะ หรือ USP ที่แบรนด์ช็อกโกแลตอื่น ๆ ไม่สามารถทำได้
- AVIS แบรนด์บริการเช่ารถ ที่มาพร้อมกับสโลแกน “We're number two. We try harder” ซึ่งเป็นสโลแกนที่ใช้มาตั้งแต่ปี 1962
ซึ่งสโลแกนนี้มีความหมายว่า ถึงแม้ AVIS จะเป็นรองในตลาดเช่ารถยนต์ แต่ก็ทุ่มเทให้กับการบริการที่มากกว่าคู่แข่ง เช่น เปิดบริการเช้ากว่า ซึ่งจุดนี้เองที่เป็น USP ทำให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง
จากทั้ง 2 แบรนด์นี้ จะเห็นได้ว่า M&M's หรือ AVIS ไม่ได้มี USP ที่หลากหลาย
แต่มีเพียงแค่ข้อเดียว และทำการสื่อสารจุดเด่นหรือจุดแตกต่างนั้น ๆ ให้ออกมาอย่างชัดเจน ก็ทำให้ลูกค้ารับรู้ถึงความแตกต่าง และทำให้แบรนด์โดดเด่นกว่าแบรนด์อื่น ๆ ได้แล้ว
มาถึงตรงนี้ คงเห็นแล้วว่า PoD และ USP ต่างก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 กลยุทธ์ ก็มีจุดที่แตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 กลยุทธ์ ก็มีจุดที่แตกต่างกัน
ถ้าให้สรุปความแตกต่างของ PoD และ USP สั้น ๆ คือ
- PoD เป็นสิ่งที่แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่งได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ตัวสินค้า การบริการ หรือภาพลักษณ์
แต่ข้อแตกต่างในลักษณะนี้ อาจเป็นข้อแตกต่างที่แบรนด์คู่แข่งเลียนแบบได้ง่าย
แต่ข้อแตกต่างในลักษณะนี้ อาจเป็นข้อแตกต่างที่แบรนด์คู่แข่งเลียนแบบได้ง่าย
- USP เป็นจุดขายเฉพาะที่แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง และต้องเป็นจุดขายที่เลียนแบบได้ยาก
เพราะฉะนั้น ด้วยความที่เลียนแบบได้ยาก แบรนด์จึงมี USP เพียงข้อเดียว แต่อาศัยการสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ก็เพียงพอแล้ว