สรุปข้อแตกต่าง การตลาดสำหรับ ธุรกิจ B2B กับ B2C ทำไมใช้กลยุทธ์เดียวกัน ไม่ได้ผล
17 เม.ย. 2024
ธุรกิจแบบ B2B หรือ Business-to-Business คือ รูปแบบธุรกิจที่ซื้อขายสินค้ากันระหว่างองค์กรธุรกิจด้วยกันเอง
โดยผู้ซื้ออาจซื้อสินค้าไปขายต่อ หรือนำไปใช้ในกิจกรรมทางธุรกิจของผู้ซื้อ
โดยผู้ซื้ออาจซื้อสินค้าไปขายต่อ หรือนำไปใช้ในกิจกรรมทางธุรกิจของผู้ซื้อ
ตัวอย่างธุรกิจเช่น ธุรกิจผลิตสินค้าขายส่ง ธุรกิจผลิตเครื่องจักรโรงงาน หรือธุรกิจให้คำปรึกษา
ส่วนธุรกิจแบบ B2C หรือ Business-to-Customer คือ รูปแบบธุรกิจที่ซื้อขายสินค้ากันระหว่างองค์กรธุรกิจกับลูกค้ารายบุคคล
โดยวัตถุประสงค์หลักของการซื้อสินค้า มักเป็นการซื้อสินค้าเพื่ออุปโภคบริโภค
ตัวอย่างธุรกิจเช่น การซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต การใช้บริการโรงแรม หรือธุรกิจโรงภาพยนตร์
ด้วยความแตกต่างของธุรกิจทั้งสองรูปแบบนี้เอง
ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดมีความแตกต่างกันในหลากหลายแง่มุม
ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางการตลาดมีความแตกต่างกันในหลากหลายแง่มุม
แล้วการตลาดของธุรกิจแบบ B2B กับแบบ B2C แตกต่างกันอย่างไรบ้าง ? เรามาดูกันเป็นข้อ ๆ
1. กลุ่มเป้าหมาย (Audience Targeting)
กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจแบบ B2B คือ องค์กร หน่วยงาน หรือบริษัท
และลูกค้าก็ไม่ใช่ทุกคนในองค์กร แต่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเพียงไม่กี่คนในองค์กรเท่านั้น
และลูกค้าก็ไม่ใช่ทุกคนในองค์กร แต่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเพียงไม่กี่คนในองค์กรเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ กลุ่มเป้าหมายจึงมีลักษณะแคบกว่า เช่น
ธุรกิจผลิตเครื่องจักรโรงงาน จะมีลูกค้าหลักเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เครื่องจักรในกิจกรรมทางธุรกิจ
ธุรกิจผลิตเครื่องจักรโรงงาน จะมีลูกค้าหลักเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เครื่องจักรในกิจกรรมทางธุรกิจ
ส่วนธุรกิจแบบ B2C มีกลุ่มเป้าหมายที่กว้างกว่ามาก
และบางครั้งการสื่อสารก็ไม่ได้เจาะจงแค่คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่ไม่ได้ต้องการซื้อสินค้าด้วย
และบางครั้งการสื่อสารก็ไม่ได้เจาะจงแค่คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น แต่รวมถึงคนที่ไม่ได้ต้องการซื้อสินค้าด้วย
เช่น
ธุรกิจขายของเล่น ไม่ได้โฆษณาให้เด็ก ๆ เห็นเท่านั้น แต่โฆษณาเป็นวงกว้าง ให้ผู้ปกครองของเด็ก คนวัยทำงาน หรือคนสูงวัยได้เห็นด้วยเช่นกัน
ธุรกิจขายของเล่น ไม่ได้โฆษณาให้เด็ก ๆ เห็นเท่านั้น แต่โฆษณาเป็นวงกว้าง ให้ผู้ปกครองของเด็ก คนวัยทำงาน หรือคนสูงวัยได้เห็นด้วยเช่นกัน
2. กระบวนการคิดและการตัดสินใจ (Decision-Making Process)
การตลาดของธุรกิจแบบ B2B มักต้องใช้กระบวนการสื่อสารที่นานกว่า
เพราะลูกค้ามักพิจารณาสินค้าอย่างรอบคอบ ผ่านการตัดสินใจจากหลายฝ่ายในองค์กร
เพราะลูกค้ามักพิจารณาสินค้าอย่างรอบคอบ ผ่านการตัดสินใจจากหลายฝ่ายในองค์กร
ทำให้เส้นทางการเป็นลูกค้าตามทฤษฎี Marketing Funnel มีขั้นตอนการประเมินเพิ่มขึ้นมา ดังนี้
Awareness > Consideration > Evaluation > Conversion
และจากสถิติบอกว่า การตัดสินใจซื้อมักต้องผ่านผู้มีอำนาจตัดสินใจในองค์กรเฉลี่ย 6.2 คน
ซึ่งหมายความว่า กลยุทธ์การตลาดต้องปรับให้สอดคล้องกับการโน้มน้าวคนอย่างน้อยถึง 6 คน
แตกต่างจากการตลาดของธุรกิจแบบ B2C ที่มีความเรียบง่ายกว่า
เพราะการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้า มักเกิดจากคนเพียงคนเดียว
เพราะการตัดสินใจซื้อหรือไม่ซื้อสินค้า มักเกิดจากคนเพียงคนเดียว
หรืออย่างมากก็มีคนใกล้ตัวสักคนช่วยตัดสินใจบ้าง เช่น กรณีผู้ปกครองซื้อของเล่นให้ลูก
ทำให้เส้นทางการเป็นลูกค้าของธุรกิจแบบ B2C ไม่มีขั้นตอนการประเมิน คือ
Awareness > Consideration > Conversion
3. รูปแบบความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship)
การตลาดของธุรกิจแบบ B2B จะเน้นสร้างความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับลูกค้าเป็นรายบุคคล และรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าเก่าไว้
เช่น
- การนัดเจอกับลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าหรือโซลูชัน (Solutions) ที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้า
- การสานความสัมพันธ์ผ่านการนัดเจอกับลูกค้าทุกครั้งที่มีโปรเจกต์ใหม่
- การแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าเก่าแบบ Real-Time
- การนัดเจอกับลูกค้าเพื่อนำเสนอสินค้าหรือโซลูชัน (Solutions) ที่ช่วยตอบโจทย์ลูกค้า
- การสานความสัมพันธ์ผ่านการนัดเจอกับลูกค้าทุกครั้งที่มีโปรเจกต์ใหม่
- การแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าเก่าแบบ Real-Time
รวมถึงเน้นสร้างความน่าเชื่อถือให้ธุรกิจ ผ่านการแสดงออกถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง
ทั้งหมดนี้ก็เพราะ ธุรกิจแบบ B2B ต้องอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัวเชิงกลยุทธ์เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจในระยะยาว
ส่วนการตลาดของธุรกิจแบบ B2C ไม่ได้เน้นสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับลูกค้าเป็นรายบุคคล
ด้วยข้อจำกัดของรูปแบบธุรกิจ ที่มีฐานลูกค้ากว้างกว่าและจำนวนมากกว่าธุรกิจแบบ B2B
ทำให้ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าทุกคนได้
ทำให้ไม่สามารถสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับลูกค้าทุกคนได้
การตลาดของธุรกิจแบบ B2C จึงเน้นเรื่องการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
แทนการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับลูกค้า
แทนการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวกับลูกค้า
เช่น
- มอบคำอวยพรหรือสิทธิพิเศษให้ลูกค้าในวันเกิด
- ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าด้วยวิธีสะดวกที่สุด โดยไม่ต้องรอนาน
- มีบริการหลังการขาย หรือแสดงความรับผิดชอบเมื่อลูกค้าได้รับความเสียหาย
- มอบคำอวยพรหรือสิทธิพิเศษให้ลูกค้าในวันเกิด
- ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้าด้วยวิธีสะดวกที่สุด โดยไม่ต้องรอนาน
- มีบริการหลังการขาย หรือแสดงความรับผิดชอบเมื่อลูกค้าได้รับความเสียหาย
ซึ่งประสบการณ์ที่ดีตลอดเส้นทางการเป็นลูกค้านี้ จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ
ยินดีที่จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำ และบอกต่อข้อดีให้ผู้อื่นรับรู้
ยินดีที่จะกลับมาซื้อสินค้าซ้ำ และบอกต่อข้อดีให้ผู้อื่นรับรู้
4. การโฆษณาและการสื่อสารถึงลูกค้า (Advertising and Communication)
เนื่องจากลูกค้าของธุรกิจแบบ B2B มักซื้อสินค้าเพื่อใช้ในกิจกรรมธุรกิจของตัวเอง
ซึ่งก็มีหลายปัจจัยต้องพิจารณา เช่น สินค้ามีประโยชน์อย่างไร ? การซื้อขายมีความคุ้มค่าแค่ไหน ?
สร้างรายได้ให้ธุรกิจไหม ? หรือสร้างภาระผูกพันให้ธุรกิจในระยะยาวหรือไม่ ?
สร้างรายได้ให้ธุรกิจไหม ? หรือสร้างภาระผูกพันให้ธุรกิจในระยะยาวหรือไม่ ?
ด้วยเหตุนี้ ลูกค้าจึงต้องการข้อมูลของสินค้าอย่างละเอียดเพื่อประกอบการตัดสินใจซื้อ
การสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มนี้ จึงต้องมีข้อมูลอย่างครบถ้วน ถูกต้อง เพียงพอ
โดยเน้นไปที่เหตุผล หลักการ และการมอบคุณค่าเชิงการใช้งาน มากกว่าคุณค่าทางอารมณ์
โดยเน้นไปที่เหตุผล หลักการ และการมอบคุณค่าเชิงการใช้งาน มากกว่าคุณค่าทางอารมณ์
ส่วนลูกค้าของธุรกิจแบบ B2C มักซื้อสินค้ามาใช้ส่วนตัวเพื่ออุปโภคบริโภค
คุณค่าที่ลูกค้าต้องการจึงไม่ได้มีแค่การใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้องด้วย
คุณค่าที่ลูกค้าต้องการจึงไม่ได้มีแค่การใช้งานเท่านั้น แต่ยังมีเรื่องอารมณ์มาเกี่ยวข้องด้วย
ดังนั้น การสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มนี้ ด้วยการร่ายยาวถึงคุณสมบัติของสินค้า ลูกค้ามักจะไม่สนใจ
จึงต้องอาศัยกลยุทธ์อื่น ๆ มาดึงดูดความสนใจจากลูกค้า เช่น
- ทำ Content Marketing ด้วยการสร้างคอนเทนต์ไวรัล
- การใช้กลยุทธ์ Storytelling มาช่วยเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าสนใจมากขึ้น
- ทำ Content Marketing ด้วยการสร้างคอนเทนต์ไวรัล
- การใช้กลยุทธ์ Storytelling มาช่วยเล่าเรื่องราวของแบรนด์ให้น่าสนใจมากขึ้น
สรุปแล้ว การตลาดของธุรกิจแบบ B2B และธุรกิจแบบ B2C มีความแตกต่างกันในหลายแง่มุม
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย, กระบวนการคิดและการตัดสินใจ, ความสัมพันธ์กับลูกค้า และการสื่อสาร
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมาย, กระบวนการคิดและการตัดสินใจ, ความสัมพันธ์กับลูกค้า และการสื่อสาร
ดังนั้น คนทำธุรกิจหรือนักการตลาด ต้องพิจารณาว่าธุรกิจของเราเป็นรูปแบบไหน
ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นทั้งสองรูปแบบข้างต้นก็ได้ แต่อาจจะเป็นแบบ C2C หรือแบบ B2B2C
ซึ่งอาจจะไม่ได้เป็นทั้งสองรูปแบบข้างต้นก็ได้ แต่อาจจะเป็นแบบ C2C หรือแบบ B2B2C
โดยประโยชน์ของการทราบประเภทของธุรกิจในเบื้องต้น
ก็จะช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย..
ก็จะช่วยให้เราวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นตามไปด้วย..
อ้างอิง:
-https://advesa.com/digital-marketing-insights/marketing/b2b-vs-b2c-marketing-5-fundamental-differences-you-should-know/
-https://business.linkedin.com/marketing-solutions/success/marketing-terms/b2b-vs-b2c
-https://wisesight.com/th/news/b2b-marketing-2023/
-https://thedigitaltips.com/blog/marketing/b2b/
-https://advesa.com/digital-marketing-insights/marketing/b2b-vs-b2c-marketing-5-fundamental-differences-you-should-know/
-https://business.linkedin.com/marketing-solutions/success/marketing-terms/b2b-vs-b2c
-https://wisesight.com/th/news/b2b-marketing-2023/
-https://thedigitaltips.com/blog/marketing/b2b/