โดย Netflix ระบุว่า ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่ารายได้จะเติบโตได้ดี โดยมีสาเหตุจากมาตรการห้ามแชร์รหัสผ่าน และแพ็กเกจราคาถูก แต่มีโฆษณา ที่เปิดให้บริการไปแล้วในบางประเทศ
และสาเหตุที่ทำให้ จำนวนสมาชิกทั้งหมดของ Disney+ ลดลง ก็เป็นเพราะ Disney+ Hotstar บริการสตรีมมิงที่ Disney เลือกจับกลุ่มคนดูในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น อินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย
สิ่งที่น่าสนใจคือ Ted Sarandos ซึ่งเป็น Co-CEO ของ Netflix ระบุว่า มูลค่าการลงทุนในครั้งนี้ เพิ่มขึ้น “เท่าตัว” เมื่อเทียบกับการลงทุน เมื่อปี 2016
ล่าสุด ในวันนี้ Netflix ก็ได้ฤกษ์ ประกาศปิดบริการเช่าหนังผ่านไปรษณีย์ ในวันที่ 29 กันยายน ที่จะถึงนี้ เป็นการปิดฉากบริการในยุคบุกเบิกของ Netflix นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท เมื่อ 25 ปีก่อน
ล่าสุด Apple กำลังเตรียมแผนการ สร้างชื่อชั้นในธุรกิจสตรีมมิงครั้งใหญ่ ด้วยการทุมงบปีละกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 34,000 ล้านบาท) เพื่อสร้างภาพยนตร์ “ฟอร์มยักษ์” เข้าฉายในโรงภาพยนตร์
ซึ่งนั่น ก็หมายความว่า Netflix เริ่มมองเห็นทิศทางที่ดี ในการหารายได้จากธุรกิจโฆษณา ซึ่งเป็นโมเดลการหารายได้แบบใหม่ ๆ ของ Netflix ที่เกิดจากการออกแพ็กเกจที่มีราคาถูก แต่มีโฆษณาแทรก..
และเป็นครั้งแรกที่ Disney+ มีจำนวนสมาชิกลดลง นับตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ Disney+ ในปี 2019 หรือเมื่อราว ๆ 4 ปีก่อน
โดย Netflix คาดการณ์ว่า จะสูญเสียฐานผู้ใช้งาน แต่ก็เป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น ส่วนในระยะยาวจะมีผู้ใช้งานที่ยอมเสียเงินเพิ่มขึ้น
“แทนที่จะหมกมุ่นกับเพิ่มจำนวนสมาชิก ด้วยการตลาดเชิงรุก และทุ่มเงินจำนวนมากไปกับคอนเทนต์ ตอนนี้เราต้องเริ่มพิจารณาเรื่องความสามารถในการทำกำไร”
โดยเรตติ้งข้ามแพลตฟอร์ม (Cross-platform) พัฒนามาจากเรตติ้งการรับชมโทรทัศน์ โดยต่อยอดการวัดผลเพื่อให้ครอบคลุมการรับชม ที่นอกเหนือไปจากการรับชมรายการสดผ่านทางโทรทัศน์
เพื่อเน้นมอบประสบการณ์การฟังเพลงให้แก่คนไทยที่หลงใหลในเสียงเพลงทุกคน เช่น การฟังเพลงได้ทันทีแบบไม่ต้องลงทะเบียน, สามารถฟังเพลงแบบล็อกหน้าจอได้ และการโหลดเพลงฟังแบบออฟไลน์ที่ทำให้หมดกังวลเรื่องการใช้งานอินเทอร์เน็ต, สามารถกดข้ามเพลงได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง
รายได้รวม ของกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อและบันเทิงของไทย ในปี 2025 ว่าจะอยู่ที่ 601,936 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (2021 - 2025 CAGR) ที่ 4.5% ต่อปี