วงการ AI ไทยจะเป็นอย่างไรต่อ ? ผ่านมุมมองคุณกระทิง KBTG และ คุณ Andrew Ng

วงการ AI ไทยจะเป็นอย่างไรต่อ ? ผ่านมุมมองคุณกระทิง KBTG และ คุณ Andrew Ng

25 ก.ค. 2024
ล่าสุดมีข่าวใหญ่ในวงการ AI บ้านเราคือ “KXVC” หน่วยงานด้าน AI ของ KBTG เพิ่งประกาศว่าจะร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ “AI Fund” ที่คุณ Andrew Ng (แอนดรูว์ อึ้ง) ตัวท็อปด้าน AI ของโลกก่อตั้งขึ้น 
เรื่องนี้น่าสนใจ.. เพราะ KBTG เป็นองค์กรเทคโนโลยีชั้นนำของไทย ที่พัฒนาแอปอย่าง K PLUS, MAKE by KBank และอีกหลาย ๆ อย่างที่คนไทยใช้กันในชีวิตประจำวัน
ส่วนคุณ Andrew Ng เองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องของ Machine Learning และ Deep Learning ทั้งยังเคยผ่านงานกับ Big Tech อย่าง Apple, Google, Baidu มาหมดแล้ว จนได้รับการขนานนามว่าตัวพ่อของวงการ AI
ดังนั้นการมาร่วมมือกันของทั้งคู่เลยถือเป็นอะไรที่น่าจับตามองมาก ๆ ว่าจะยกระดับวงการ AI ในบ้านเราได้มากขนาดไหน ? 
MarketThink ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์คุณกระทิง-เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) และคุณ Andrew Ng Managing General Partner, AI Fund & Founder of Landing AI ในงาน KBTG Techtopia: A Blast From the Future ที่เพิ่งจบไป 
ถึงเบื้องหลังของการร่วมมือกันในครั้งนี้ว่ามีที่มาอย่างไร และวงการ AI ของไทยจะได้อานิสงส์อะไรบ้าง ?
ก่อนจะเข้าเรื่องเราต้องมาทำความรู้จักกับตัวละครสำคัญกันก่อน นั่นก็คือ “KXVC” และ “AI Fund” 
- “KXVC” คือกองทุนที่ถูกจัดตั้งขึ้นโดย KBTG หรือ กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีในเครือของธนาคารกสิกรไทย 
จุดมุ่งหมายของ KXVC คือการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น AI, Machine Learning และ Data Science เพื่อให้เกิดการใช้งานได้จริง โดยมีเงินลงทุนกว่า 3,500 ล้านบาท 
ซึ่งที่ผ่านมา KXVC ก็ได้เคยลงทุนกับบริษัทเทคโนโลยีมาแล้วหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่น CDAO สตาร์ตอัปด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบการเงินบน Web3 มูลค่ากว่า 100 ล้านบาท 
- ส่วนทางด้าน AI Fund เป็น Venture Studio ที่เน้นเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทที่ไปร่วมลงทุน ก่อตั้งโดยคุณ Andrew Ng มีจุดมุ่งหมายคือต้องการให้เกิดการนำ AI มาใช้ขับเคลื่อนมนุษยชาติ 
โดยที่ผ่านมา AI Fund นั้นได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรระดับโลกหลายแห่ง เช่น Sequoia บริษัทร่วมลงทุนสัญชาติอเมริกัน และ SoftBank สถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น
สำหรับสาเหตุที่ทั้งคู่มาร่วมงานกัน ก็เพราะว่าทั้งคู่เป็นองค์กรที่มีมุมมองต่อ AI คล้าย ๆ กัน คือเชื่อว่า AI ต้องเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าถึง ไม่ต่างจากไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ต​
นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังมีความสนใจที่จะผลักดันเรื่องของการศึกษาด้าน AI และการใช้ AI พัฒนาระบบการศึกษาให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้ได้อย่างเท่าเทียม 
ทำให้เบื้องต้นแล้วแนวทางการร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเน้นไปที่การผลักดันเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับ AI เป็นหลัก เริ่มตั้งแต่
- KBTG X DeepLearning.AI (หนึ่งในบริษัทของคุณ Andrew Ng) X AIAT เพื่อพัฒนาโครงการ “KBTG.AI Kampus” ในเรื่องของโปรแกรมการศึกษาและอบรมเรื่อง AI สำหรับนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย 
- KBTG X AI Fund X กสศ. เพื่อพัฒนา AI Assistant มาช่วยแก้ไขปัญหาด้านสุขภาพจิตของเด็กนักเรียน และความเท่าเทียมทางการศึกษาในประเทศไทย
โดยทั้งคู่บอกว่าการร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการ AI ไทยเท่านั้น เพราะเบื้องหลังของการร่วมมือกันครั้งนี้ เป็นการดีลที่ค่อนข้างจะ Win-Win ทั้งสองฝ่าย 
ทางฝั่ง KBTG เองก็จะได้ช่องทางใหม่ ๆ ในการลงทุนเพื่อต่อยอดเทคโนโลยีต่าง ๆ ผ่าน AI Fund 
โดยคุณกระทิงบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมากองทุน KXVC มีเงินลงทุนอยู่เยอะ แต่บริษัทที่เข้าเกณฑ์จะลงทุนได้ ยังมีน้อยมาก ๆ 
ดังนั้นการร่วมมือกันครั้งนี้ จะช่วยเปิดประตูบานใหม่ ๆ ให้กับ KBTG ในการร่วมลงทุนกับบริษัทเจ๋ง ๆ 
ผ่านสรรพกำลังของ AI Fund ได้  
และฝั่งของ AI Fund เองก็จะได้เข้าถึง Ecosystem ที่แข็งแกร่งของ KBTG ที่ครอบคลุม Business Unit ต่าง ๆ ที่ทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง 
โดย Ecosystem ของ KBTG จะมีจุดเด่นคือ มีส่วนงานที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ครบจบตั้งแต่การคิดค้นเทคโนโลยีใหม่ ไปจนถึงการประยุกต์ใช้กับธุรกิจ 
- ต้นน้ำ จะมีส่วนงานที่เรียกว่า KBTG Labs ที่ KBTG ร่วมมือกับ MIT Media Lab คอยพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น ระบบเปรียบเทียบใบหน้า (Face Recognition) และยืนยันหน้าจริง (Face Liveness) 
- กลางน้ำ เทคโนโลยีที่ KBTG Labs พัฒนาได้แล้วจะถูกส่งต่อให้ KX ซึ่งเป็น Venture Builder ในเครือ KBTG นำไปต่อยอดเพื่อหาทางนำเทคโนโลยีเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันและในเชิงธุรกิจ 
- ปลายน้ำ เมื่อพัฒนาเทคโนโลยีจนสามารถนำมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ได้แล้ว ก็จะมีการออกเป็น Product เกี่ยวกับเทคโนโลยีตามมา 
ซึ่งที่ผ่านมา KX ก็ได้เปิดตัว 2 แพลตฟอร์มและบริการ AI ที่สามารถใช้ในเชิงธุรกิจได้แล้วคือ 
AINU (อัยนุ) โซลูชัน AI ยืนยันตัวตนด้วย 3 ฟีเชอร์เด่น คือ OCR (ระบบแปลงข้อมูลจากภาพ), Liveness Detection (ระบบยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า) และ Face Recognition (ระบบเปรียบเทียบใบหน้า)
Car AI เทคโนโลยี AI ตรวจสภาพรถยนต์แบบอัตโนมัติเพื่อประเมินความเสียหายจากรูปภาพ สำหรับธุรกิจประกัน ซื้อขายรถยนต์มือสอง และอื่น ๆ 
ทีนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับวงการ AI ของไทยต่อ หลังจากการร่วมมือกันครั้งนี้ ? 
คุณ Andrew Ng บอกว่าอนาคตของ AI จะเป็นอย่างไร อาจจะตอบไม่ได้ในตอนนี้ 
แต่เขาเชื่อว่า หลังจากนี้การพัฒนา AI บนอุปกรณ์ให้ใช้ได้โดยไม่มีอินเทอร์เน็ต 
รวมไปถึง AI การประมวลผลภาพ จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตอย่างแน่นอน
นอกจากนี้คุณ Andrew Ng ยังเชื่อว่าการเรียนรู้เรื่องของพื้นฐานการเขียนโคดนั้นสำคัญมาก เพราะ AI จะช่วยให้คนที่มีพื้นฐานการเขียนโคดเพียงเล็กน้อย สามารถทำงานในระดับที่สูงขึ้นมาได้ 
ยกตัวอย่างเช่น อาชีพนักการตลาด ที่ปกติแล้วงานหลัก ๆ จะเป็นการคิดแคมเปญ, วางแผนการโปรโมตแบรนด์ ถ้าคนเหล่านี้มีพื้นฐานเรื่องโคดนิดหน่อยแล้วใช้ความสามารถของ AI ช่วย
ก็จะช่วยให้นักการตลาดสามารถทำงานในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ของลูกค้าทำให้ออกแคมเปญได้เฉียบคมขึ้น
อย่างไรก็ดี กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ โครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะเรื่องของ “คน” ต้องพร้อมก่อน
ทำให้เรื่องของการศึกษานั้นจำเป็นมาก ๆ 
โดยถ้าเรียนรู้เรื่องพวกนี้ช้าเกินไป อาจจะเป็นเหมือนคนสมัยก่อนที่คิดว่าการอ่านหรือเขียนไม่จำเป็น 
แต่มาวันนี้ทักษะเหล่านั้นกลับกลายเป็นเรื่องพื้นฐานที่ทุกคนทำได้กันหมดแล้ว 
และสุดท้าย สำหรับประเทศไทย คุณ Andrew Ng มองว่ามีโอกาสทางด้าน AI มากมาย ทั้งในแง่ของระบบนิเวศ สตาร์ตอัป และธุรกิจอื่น ๆ 
นอกจากนี้ยังเห็นว่าประเทศไทยอาจจะใช้ AI ในการต่อยอดอุตสาหกรรมที่ตัวเองเชี่ยวชาญ อย่าง Healthcare และการเกษตรได้ แต่สิ่งสำคัญคือทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกัน เพื่อไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ 
ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ ก็เปรียบเหมือนสัญญาณที่ดีว่าประเทศไทยนั้นเดินไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งแล้ว
อ่านมาถึงตรงนี้ ก็ขอปิดท้ายกันด้วยคำถามชวนคิด ว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์ในสักวันหนึ่งหรือเปล่า ? 
เรื่องนี้คุณกระทิงได้ตอบไว้ว่า 200 ปีก่อน มนุษย์เคยกลัวว่าเครื่องจักรจะมาแทนที่มนุษย์ 
แต่กาลเวลาก็เฉลยแล้วว่าการมาของเครื่องจักรทำให้คนสามารถทำงานได้เยอะขึ้น และก็สร้างตำแหน่งงานใหม่ ๆ ตามมา 
พอมาวันนี้เหตุการณ์คล้าย ๆ กันเกิดขึ้นอีกครั้ง จากการมาของ AI 
ดังนั้นไม่ต้องกลัวว่า AI จะมาแทนที่เรา เพราะ AI จะเข้ามาแทนที่คนที่ใช้ AI ไม่เป็นต่างหาก..
#KBTG
#AIFund
#KBTGTechtopia
#ABlastFromTheFuture #BeyondPartnership
Tag:AIKBTG
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.