สรุปการทำ Brand Voice วิธีสร้างน้ำเสียง สร้างอารมณ์ ของแบรนด์เรา ให้ตรงใจลูกค้า
29 พ.ค. 2024
เมื่อพูดถึงการสร้างแบรนด์ หลายคนอาจนึกถึงกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายจดจำแบรนด์ของเราได้ ผ่านโลโกและสินค้าของแบรนด์ ที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง
แต่ในความจริงแล้ว Brand Voice ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการสร้างแบรนด์เช่นเดียวกัน
ในฐานะของเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของเราได้จากการสื่อสารที่แบรนด์เลือกใช้
ในฐานะของเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของเราได้จากการสื่อสารที่แบรนด์เลือกใช้
แล้ว Brand Voice คืออะไร ? มาดูกันในโพสต์นี้..
ก่อนอื่น ต้องขออธิบายก่อนว่า Brand Voice นับว่าเป็นการสร้างแบรนด์ในรูปแบบหนึ่ง เป็นบุคลิกภาพ (Personality) ของแบรนด์ ที่อยากให้ลูกค้ารับรู้ผ่านการสื่อสาร
ซึ่งการสื่อสารที่ว่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องเสียงที่ลูกค้าจะได้ยินจริง ๆ ตามคำแปลตรง ๆ ของ Brand Voice เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงการสื่อสารทุกรูปแบบ ที่แบรนด์ต้องการสื่อสารไปยังลูกค้า
แต่ยังรวมถึงการสื่อสารทุกรูปแบบ ที่แบรนด์ต้องการสื่อสารไปยังลูกค้า
เช่น ข้อความที่ลูกค้าจะได้อ่านจากแบรนด์ในทุก ๆ ที่ ทั้งบนป้ายโฆษณา ข้อความบนเว็บไซต์ โพสต์บนโซเชียลมีเดีย
หรือเรียกได้ว่าจริง ๆ แล้ว Brand Voice อยู่ในทุก ๆ Touch Point ที่ลูกค้าต้องเจอ..
เทียบให้เห็นภาพง่าย ๆ หากแบรนด์ของเราเป็นคนที่มีชีวิต และต้องพูดคุยกับลูกค้า
Brand Voice ก็คือ การกำหนดว่าคนคนนั้น จะพูดคุยกับลูกค้าอย่างไร
Brand Voice ก็คือ การกำหนดว่าคนคนนั้น จะพูดคุยกับลูกค้าอย่างไร
ทั้งการพูดคุยผ่านตัวอักษรและการพูดคุยด้วยเสียง
ตั้งแต่เรื่องการเลือกใช้คำ ระดับภาษา สไตล์การสื่อสาร และน้ำเสียงที่ใช้
ตั้งแต่เรื่องการเลือกใช้คำ ระดับภาษา สไตล์การสื่อสาร และน้ำเสียงที่ใช้
ในอีกทางหนึ่ง Brand Voice ก็คือ “บุคลิกภาพ” ที่แบรนด์อยากใช้ในการสื่อสารกับลูกค้า นั่นเอง..
และหากถามว่า Brand Voice มีความสำคัญอย่างไร ?
เรื่องนี้บอกได้เลยว่า Brand Voice คือสิ่งที่ใช้ในการสร้างความแตกต่างระหว่างแบรนด์ของเรากับคู่แข่ง
เพราะตามธรรมชาติของคนทั่วไป ย่อมมีสไตล์การสื่อสารที่ตัวเองชื่นชอบอยู่แล้ว นั่นหมายความว่า หากแบรนด์จับจุดนี้ได้ และเลือกใช้การสื่อสารที่เหมาะสม
ก็ย่อมซื้อใจลูกค้าได้ และทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ก่อนคู่แข่งอื่น ๆ ในท้องตลาด
ก็ย่อมซื้อใจลูกค้าได้ และทำให้ลูกค้านึกถึงแบรนด์ก่อนคู่แข่งอื่น ๆ ในท้องตลาด
ทีนี้ เราลองมาเจาะลึกลงไปเพิ่มเติมกันว่า Brand Voice มีกี่แบบ
หากเราลองยกตัวอย่าง Brand Voice ที่เรามักเห็นแบรนด์ต่าง ๆ ใช้กันอยู่บ่อย ๆ ก็อย่างเช่น
- อบอุ่น ใจดี
- เข้าถึงง่าย มีความเป็นมิตร
- ชอบให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์
- ตลก สนุกสนาน
- มีความเป็นมนุษย์สูง
- ติดดิน
- เรียบหรู ดูแพง คลาสสิก
- หรูหราแบบผู้ดี
- มีความมั่นใจ
- ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม
- เป็นวัยรุ่น
- เข้าถึงง่าย มีความเป็นมิตร
- ชอบให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์
- ตลก สนุกสนาน
- มีความเป็นมนุษย์สูง
- ติดดิน
- เรียบหรู ดูแพง คลาสสิก
- หรูหราแบบผู้ดี
- มีความมั่นใจ
- ตรงประเด็น ไม่อ้อมค้อม
- เป็นวัยรุ่น
ซึ่งต้องบอกว่า จริง ๆ แล้วยังมีอีกเยอะมาก เพราะบุคลิกภาพของคนเรา ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเท่านี้
และแบรนด์ของเรา ไม่จำเป็นต้องมี Brand Voice เพียงอย่างเดียว
แต่เราสามารถเลือก Brand Voice ที่เหมาะสมได้หลายแบบ
แต่เราสามารถเลือก Brand Voice ที่เหมาะสมได้หลายแบบ
เช่น แบรนด์ของเราอาจต้องการเป็นคนที่เข้าถึงง่าย เป็นมิตร แต่ในขณะเดียวกันก็มีความมั่นใจ ไปพร้อม ๆ กันก็ได้
คำถามถัดมาคือ หากแบรนด์ของเราต้องการกำหนด Brand Voice เป็นของตัวเอง จะต้องเริ่มอย่างไร ?
เราสามารถกำหนด Brand Voice ของตัวเอง ด้วยการทำ Checklist ทั้งหมด 3 ข้อ ได้แก่
1. แบรนด์เราคือใคร มีตัวตนอย่างไร ?
Checklist ข้อแรก เป็นคำถามง่าย ๆ ที่ทำให้เราได้มองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของแบรนด์เราก่อน
โดยสิ่งที่ต้องพิจารณามี 3 ส่วนด้วยกัน คือ วิสัยทัศน์ (Vision) และพันธกิจ (Mission) ของแบรนด์ และวัฒนธรรมองค์กรที่แบรนด์พยายามสร้างขึ้น
ทั้ง 3 ส่วนนี้ จะเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้แบรนด์เห็นภาพคร่าว ๆ ว่า แบรนด์จะมีวิธีการในการสื่อสารกับลูกค้าของตัวเองอย่างไร ก่อนที่จะกำหนด Brand Voice ในภายหลัง
2. กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเราคือใคร ?
Checklist ถัดมาที่ต้องพิจารณา ก็คือ กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเราคือใคร เพราะคนกลุ่มนี้คือผู้ที่แบรนด์ของเราต้องการสื่อสารด้วย
นั่นหมายความว่า Brand Voice ที่เราใช้ ต้องมีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเรา
ซึ่งวิธีที่เราจะรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเราคือใคร เราสามารถนำหลักประชากรศาสตร์ มาใช้ในการวิเคราะห์ได้ เช่น
เพศ อายุ ภูมิลำเนา กำลังซื้อ การศึกษา อาชีพ ความสนใจ
หรือพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย และพฤติกรรมการซื้อสินค้า
หรือพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย และพฤติกรรมการซื้อสินค้า
ซึ่งเมื่อเรารู้แล้วว่าแบรนด์ของเรามีกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าเป็นใคร เราก็จะสามารถกำหนด Brand Voice ที่เหมาะสมได้ง่ายขึ้น
โดยอาศัยการวิเคราะห์ว่า กลุ่มเป้าหมายและลูกค้าที่เราสื่อสารด้วย น่าจะชื่นชอบสไตล์การสื่อสารแบบไหน
3. การสื่อสารในตอนนี้ของแบรนด์ เป็นอย่างไร
Checklist ข้อสุดท้าย เป็นการทำให้แบรนด์ย้อนกลับไปมองอีกครั้งว่า การสื่อสารที่แบรนด์ทำอยู่ในปัจจุบัน มีผลตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าอย่างไร
มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าหรือไม่
มีความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าหรือไม่
เช่น ในบางครั้งผู้ที่เราสื่อสารด้วย อาจมองว่าแบรนด์ของเราสื่อสารด้วยความเป็นทางการมากเกินไป จนยากที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
แบรนด์ของเราก็อาจต้องปรับการสื่อสารของแบรนด์เสียใหม่ ให้มีความเป็นมิตร เข้าถึงง่าย เหมือนเพื่อนคุยกัน
ทีนี้ เราลองมาดูตัวอย่างจริงกันดีกว่า ว่าแบรนด์ดังระดับโลกกำหนด Brand Voice ของตัวเองไว้อย่างไร
โดยแบรนด์ที่เราจะยกตัวอย่างกันก็คือ Microsoft
Microsoft กำหนด Brand Voice ของตัวเอง โดยมีพื้นฐานที่สำคัญที่สุด คือ ความเรียบง่าย และความเป็นมนุษย์
ที่สำคัญคือ ทุก ๆ การสื่อสารของ Microsoft จะมีสไตล์ที่อ่านหรือฟังแล้ว ให้ความรู้สึกใน 3 ข้อนี้
- อบอุ่น และผ่อนคลาย
สื่อสารด้วยความเป็นธรรมชาติ เป็นทางการน้อย และสนุกสนานในบางโอกาส
สื่อสารด้วยความเป็นธรรมชาติ เป็นทางการน้อย และสนุกสนานในบางโอกาส
- ชัดเจน และตรงประเด็น
สื่อสารด้วยความเข้าใจง่าย สามารถอ่านข้อความแบบสแกนผ่าน ๆ ก็เข้าใจได้ โดยที่ไม่ต้องอ่านเนื้อหาทั้งหมด
สื่อสารด้วยความเข้าใจง่าย สามารถอ่านข้อความแบบสแกนผ่าน ๆ ก็เข้าใจได้ โดยที่ไม่ต้องอ่านเนื้อหาทั้งหมด
- พร้อมให้ความช่วยเหลือ
สื่อสารโดยเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค พร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องการ
สื่อสารโดยเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค พร้อมที่จะนำเสนอข้อมูลที่ผู้บริโภคต้องการ
นอกจากนี้ Brand Voice ของ Microsoft ยังได้กำหนดไกด์ไลน์ในการเขียนข้อความต่าง ๆ ของตัวเองด้วยว่า
ต้องตรงประเด็น นำสาระสำคัญของเรื่องที่ต้องการนำเสนอไปอยู่ในจุดที่เด่นที่สุด ใช้ภาษาที่มีความเป็นมนุษย์ เหมือนบทสนทนาในชีวิตประจำวัน และต้องมีความเรียบง่ายในการสื่อสารอยู่เสมอ
และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องของ Brand Voice การสร้างแบรนด์ด้วยโทนเสียงจากการสื่อสาร ที่มีความสำคัญไม่แพ้การตลาดในรูปแบบอื่นเลย
เพราะการตลาดแทบทุกชนิดที่แบรนด์ทำ มีพื้นฐานมาจากการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของแบรนด์อยู่เสมอ
ดังนั้น การกำหนด Brand Voice จึงมีความสำคัญ เพราะหากแบรนด์เป็นคน เราก็คงอยากให้คนคนนั้น มีบุคลิกการสื่อสาร ที่เข้ากับกลุ่มเป้าหมายและลูกค้าของเราได้มากที่สุด
#BrandVoice
#การตลาด
#การสร้างแบรนด์
—------------------------------------------
อ้างอิง :
- https://www.tidio.com/blog/brand-voice/
- https://www.nngroup.com/articles/tone-of-voice-dimensions/
- https://sproutsocial.com/insights/brand-voice/
- https://www.grammarly.com/.../how-to-create-a-brand-voice/
- https://learn.microsoft.com/.../brand-voice-above-all...
#การตลาด
#การสร้างแบรนด์
—------------------------------------------
อ้างอิง :
- https://www.tidio.com/blog/brand-voice/
- https://www.nngroup.com/articles/tone-of-voice-dimensions/
- https://sproutsocial.com/insights/brand-voice/
- https://www.grammarly.com/.../how-to-create-a-brand-voice/
- https://learn.microsoft.com/.../brand-voice-above-all...
Tag:Brand Voice