“จระเข้” จากธุรกิจคนไทย สู่ Inter Brand ที่ก้าวสู่ความยั่งยืน

“จระเข้” จากธุรกิจคนไทย สู่ Inter Brand ที่ก้าวสู่ความยั่งยืน

13 พ.ค. 2024
“จระเข้ คือแบรนด์ไทยที่ส่งออกวัสดุก่อสร้างไปยัง 17 ประเทศทั่วโลก ส่วนกาวซีเมนต์และกาวยาแนว เรามีส่วนแบ่งตลาดกว่า 50% มียอดขายแซงหน้าแบรนด์ต่างชาติ และเป็นอันดับหนึ่งในเมืองไทย”

“อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้หลงระเริงไปกับความสำเร็จในอดีตที่เกิดขึ้น เมื่อวันนี้ บริษัทกำลังพยายามจะสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน”
คุณศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เล่าถึงความสำเร็จของแบรนด์จระเข้ และความคิดที่จะ Move on ไปสู่บริษัทที่ยั่งยืน
โดยในปี 2566 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้ 3,700 ล้านบาท ส่วนในปี 2567 บริษัทตั้งเป้ารายได้ 4,100 ล้านบาท เติบโตกว่า 10%
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ จระเข้ กำลังขยายธุรกิจตัวเองให้มีความหลากหลายในตลาดวัสดุก่อสร้าง พร้อมกับเป็นผู้เริ่มเปลี่ยนทุกกระบวนการทางธุรกิจไปสู่บริษัทที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
หากย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของบริษัท เมื่อ 32 ปีที่แล้ว ใครจะคิดว่า บริษัทเล็ก ๆ ที่เกิดจากครอบครัวคนไทย มาวันนี้จะสามารถก้าวข้ามอุปสรรคจนกลายเป็น Inter Brand และกำลังเดินไปสู่โมเดลความยั่งยืนที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลก
ความสำเร็จในอดีตและเส้นทางอนาคตของแบรนด์ จระเข้ น่าสนใจแค่ไหน ?
MarketThink จะพาไปสะกดรอยความสำเร็จ และหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน
คุณศุภพงษ์ บอกว่า สิ่งที่ทำให้แบรนด์จระเข้ ประสบความสำเร็จเกินคาด มาจากความจริงใจที่มีต่อผู้บริโภคตั้งแต่วันแรกที่ทำธุรกิจ
ด้วยการผลิตสินค้าคุณภาพสูงในราคาสมเหตุสมผล โดยเฉพาะ กาวยาแนวและกาวซีเมนต์ ที่จระเข้เป็นแบรนด์แรก ๆ ที่ได้การรับรองคุณภาพสินค้าจากสถาบันระดับโลกมากมาย จนทำให้มียอดขายอันดับหนึ่งในเมืองไทยมายาวนาน และส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ
“ความสำเร็จ” จะมีคุณสมบัติพิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือ “ไม่หยุดนิ่ง” ทำให้ทาง จระเข้ ไม่ได้ยึดติดกับธุรกิจ กาวยาแนวและกาวซีเมนต์ เหมือนในอดีต
แต่ต่อยอดและครองตลาดวัสดุก่อสร้างด้วย 2 กลุ่มสินค้าอย่าง สีจระเข้ เพื่อที่อยู่อาศัยและเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง ถือเป็นวิธีที่ดีเลยทีเดียว เพราะนอกจากเป็นการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ในอีกมุมหนึ่งก็ยังสร้างรายได้เติบโตและตอกย้ำการเป็นผู้นำนวัตกรรมงานก่อสร้างอย่างครบวงจร ผ่านธุรกิจหลากหลายมากขึ้น
และอย่างที่รู้กันดีใน 2 อุตสาหกรรมนี้ ต่างมีแบรนด์ยักษ์ใหญ่ครองตลาดมายาวนาน
คำถามคือ จระเข้จะสร้างความแตกต่างให้แก่สินค้าตัวเองเพื่อสร้างฐานลูกค้าและยอดขายด้วยวิธีไหน ?
เริ่มต้นที่ สีจระเข้ เพื่อที่อยู่อาศัย (SEE JORAKAY) เน้นจุดขายการเป็นสีที่ทุกกระบวนการผลิต เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่มีความหลากหลาย สีทาอาคารของจระเข้ จะมีส่วนผสมหลักจากไลมสโตน (หินปูนธรรมชาติ) และยังมีกลุ่มสีปลอดภัย สีสร้างลาย texture เป็นต้น
ส่วน เคมีภัณฑ์เพื่องานก่อสร้าง ก็จะมีสินค้าหลากหลาย
ไม่ว่าจะเป็น กันซึม ที่ปกป้องปัญหารอยรั่วซึมทุกจุดใช้งาน ตั้งแต่ชั้นฐานราก จนถึงดาดฟ้าและหลังคา, ปูนฉาบแต่งผิวต่าง ๆ จนไปถึงผลิตภัณฑ์สำหรับงาน infarstructure ขนาดใหญ่ เป็นต้น
ที่น่าสนใจคือ ทุก ๆ สินค้าจะถูกคิดค้นและพัฒนาในกรอบแนวคิด “Innovation for your family’s happiness” หรือ “นวัตกรรมก่อสร้างความสุขเพื่อคุณและครอบครัว”
นั่นแปลว่าสินค้าของจระเข้ ไม่ได้ถูกคิดค้นแค่เฉพาะการใช้งานของช่าง อย่างเดียว แต่ยังมองไปถึงสุขภาพและความสุขของผู้อยู่อาศัย อีกทั้งในบางสินค้า เจ้าของบ้านก็สามารถลงมือทำเองได้ง่าย ๆ
“ในแต่ละปีจระเข้ใช้งบ R&D กว่า 10 ล้านบาท พร้อมส่งพนักงานไปดูนวัตกรรม ตามอิเวนต์งานสินค้าวัสดุก่อสร้างระดับโลกทุก ๆ ปี เพื่อนำมาปรับใช้และพัฒนาสินค้าของเรา ให้ตอบโจทย์พฤติกรรมของช่างและผู้บริโภค จนถึงเทรนด์ของโลก”
อีกทั้ง คุณศุภพงษ์ ยังเล่าต่อว่า ณ วันนี้ วิกฤติโลกร้อนมันคือปัญหาของทุกคนบนโลกใบนี้ ที่น่ากังวลกว่านั้นก็คือ มีการประเมินว่าโลกเราจะร้อนขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี
พอเป็นแบบนี้ ทุกกระบวนการผลิตสินค้า, แพ็กเกจจิง และการทำงานของพนักงาน จะมีคำว่า “Green” เป็นสารตั้งต้นในการขับเคลื่อนในทุก ๆ มิติในการทำธุรกิจของบริษัท
แม้สิ่งที่ตามมากับการผลิตสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคือ “ต้นทุนเพิ่มขึ้น”
“ผมว่ายุคนี้คนตัดสินใจซื้อสินค้าเพื่อสิ่งแวดล้อมง่ายขึ้นกว่าเดิม แม้จะมีราคาสูงขึ้นนิดหนึ่ง แต่ผู้บริโภคเต็มใจที่จะจ่าย เพราะผู้บริโภคเริ่มตระหนักแล้วว่าโลกร้อน, สิ่งแวดล้อมที่แย่ลง มันส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต สะท้อนจากยอดขายสินค้ากลุ่ม Green ของบริษัทที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ”
เมื่อมีสินค้าหลากหลายที่ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณภาพและ Branding ทำให้ล่าสุด คุณศุภพงษ์ ตั้งเป้าหมายให้แบรนด์จระเข้ ขยายไปยังตลาดต่างประเทศอย่างเข้มข้น โดยเฉพาะในภูมิภาค CLMV หรือก็คือประเทศกัมพูชา ลาว เมียนมา และได้มีการเปิด ออฟฟิศที่ประเทศเวียดนาม
ที่เป็นตลาดที่มีโอกาสการเติบโตสูงมาก ๆ ด้วยปัจจัยที่เอื้ออำนวยมากมาย เช่น อัตราการใช้กระเบื้องที่ค่อนข้างสูง ทำให้มีความต้องการกาวยาแนวใช้งานจำนวนมาก
โดยตั้งเป้าตลาดต่างประเทศในปี 2567 นี้ อยู่ที่สัดส่วน 15% จากรายได้ทั้งหมด จากแต่เดิมอยู่ที่ 10% ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ คุณศุภพงษ์ บอกว่า เป้าหมายในอนาคตของแบรนด์จระเข้ ในตลาดต่างประเทศ คือต้องมีสัดส่วน 50% จากรายได้ทั้งหมด
จะทำได้หรือไม่นั้น คงไม่มีใครตอบได้ และเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
แต่สิ่งที่ได้รับการพิสูจน์แล้วนั่นก็คือ คุณศุภพงษ์ นำพาธุรกิจบริษัทฯ มาไกลกว่าที่หลายคนคิด เมื่อวันนี้ จระเข้ คือแบรนด์ไทยที่มีสถานะเป็น Inter Brand ส่งออกสินค้าไปยัง 17 ประเทศทั่วโลก
แต่นั่นดูเหมือนจะเป็นจุดเริ่มต้น เมื่อ คุณศุภพงษ์ บอกว่าเป้าหมายสูงสุดของเขา คือ สร้างบริษัทและแบรนด์จระเข้ให้เติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับผู้คน สิ่งแวดล้อม และโลกใบนี้
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.