อธิบายทฤษฎี “วัวสีม่วง” วิธีทำการตลาดให้คนสนใจ ที่ล้อมาจาก การตลาด 4P
21 เม.ย. 2024
เวลาพูดถึงหลักการตลาดสำคัญ ๆ หลายคนจะนึกถึงคำว่า 4P (Product, Price, Place, Promotion)
แต่ในโลกที่ธุรกิจต่างแข่งขันกันอย่างดุเดือด เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า
ก็มีทฤษฎีการตลาดแบบหนึ่งเกิดขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า Purple Cow หรือที่แปลตรง ๆ ว่า “วัวสีม่วง” เพื่อให้ตัว P ไปล้อกับหลักการตลาด 4P ที่หลายคนคุ้นเคย
ก็มีทฤษฎีการตลาดแบบหนึ่งเกิดขึ้นมา โดยใช้ชื่อว่า Purple Cow หรือที่แปลตรง ๆ ว่า “วัวสีม่วง” เพื่อให้ตัว P ไปล้อกับหลักการตลาด 4P ที่หลายคนคุ้นเคย
ในปี 2003 คุณ Seth Godin นักเขียนและนักธุรกิจชาวอเมริกัน ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า
Purple Cow: Transform Your Business by Being Remarkable
Purple Cow: Transform Your Business by Being Remarkable
โดยภายในหนังสือได้เล่าเรื่องราวเคสการตลาดหลายเคสไว้อย่างน่าสนใจ
ผ่านแนวคิดการตลาดสุดคลาสสิก ชื่อว่า “วัวสีม่วง (Purple Cow)” ที่เขาตั้งชื่อขึ้นมาเอง
ผ่านแนวคิดการตลาดสุดคลาสสิก ชื่อว่า “วัวสีม่วง (Purple Cow)” ที่เขาตั้งชื่อขึ้นมาเอง
แล้ววัวสีม่วง เกี่ยวอะไรกับการตลาด ? ไปหาคำตอบกัน
ลองจินตนาการว่า เรากำลังขับรถสปอร์ตเปิดประทุนคันเท่บนถนนไฮเวย์สายหนึ่ง โดยสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้าโล่งกว้างทอดยาวสุดลูกหูลูกตา
ในทุ่งหญ้านั้น มีวัวหลายร้อยตัว ทั้งสีขาวดำ สีเบจ สีน้ำตาล กำลังแทะเล็มหญ้าอยู่ในทุ่งอย่างสบายใจ
ในตอนนี้คุณอาจจะประหลาดใจกับวัวจำนวนมากที่เรียงรายอยู่เต็มสองข้างทาง ที่ส่วนใหญ่เป็นสีน้ำตาลบ้าง สีขาวดำบ้าง
แต่อยู่ดี ๆ สายตาของคุณก็ไปสะดุดเข้ากับวัวแปลกประหลาดตัวหนึ่ง วัวตัวนั้นเป็น วัวสีม่วง หนึ่งเดียวบนทุ่งหญ้าโล่งกว้าง
ทันทีที่เห็น คุณก็เหยียบเบรกและกระโจนลงจากรถแทบจะทันที
เพียงเพื่อจะได้เข้าไปถ่ายรูปคู่กับเจ้าวัวสีม่วงแปลกตาตัวนั้น และอัปโหลดรูปภาพลง Instagram
เพียงเพื่อจะได้เข้าไปถ่ายรูปคู่กับเจ้าวัวสีม่วงแปลกตาตัวนั้น และอัปโหลดรูปภาพลง Instagram
แล้วเรื่องนี้บอกอะไรกับเรา ?
คุณ Seth Godin ได้แบ่งยุคสมัยของธุรกิจให้เข้าใจแบบง่าย ๆ ออกเป็น 3 ช่วง คือ
- ยุคก่อนโฆษณา คือ ช่วงที่สินค้าหรือบริการยังมีตัวเลือกไม่มากนัก
สินค้าหรือบริการที่ออกมา จึงเน้นไปที่คุณค่าเชิงการใช้งานก็เพียงพอสำหรับการขายแล้ว
สินค้าหรือบริการที่ออกมา จึงเน้นไปที่คุณค่าเชิงการใช้งานก็เพียงพอสำหรับการขายแล้ว
- ยุคที่ใช้โฆษณาทำการตลาด คือ ช่วงที่ธุรกิจมีการแข่งขันกันมากขึ้น
หลายธุรกิจต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเข้ามาช่วย เช่น การประโคมข่าวโฆษณาสินค้าของตัวเอง เพื่อให้คนรู้จักสินค้าของตัวเองมากขึ้น
หลายธุรกิจต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเข้ามาช่วย เช่น การประโคมข่าวโฆษณาสินค้าของตัวเอง เพื่อให้คนรู้จักสินค้าของตัวเองมากขึ้น
- ยุคหลังโฆษณา คือ ช่วงเวลาปัจจุบันที่ผู้บริโภคเริ่มอิ่มตัวกับโฆษณาจำนวนมหาศาล ธุรกิจจึงต้องปรับตัวกันอีกครั้ง เพื่อให้สามารถยังอยู่รอดได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้ ถ้าธุรกิจยังขายสินค้าคล้าย ๆ กัน ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ก็ยากที่ลูกค้าจะหันมาสนใจ และซื้อสินค้าของเราตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น
ซึ่งวัวสีขาวดำ และสีน้ำตาล จำนวนมากในทุ่งหญ้า ก็เหมือนสินค้าที่มีอยู่ดาษดื่นในตลาด เมื่อไม่มีอะไรแปลกใหม่และน่าดึงดูด แน่นอนว่าลูกค้าก็ไม่สนใจเช่นเดียวกัน
แต่วัวสีม่วงเปรียบเสมือนตัวแทนของสินค้าที่มีความโดดเด่นสะดุดตาในตลาด
แม้สินค้านั้นจะเป็นของธรรมดา (วัว) แต่เมื่อมีความแตกต่างที่โดดเด่น (สีม่วง) คนก็ให้ความสนใจทันที และพร้อมบอกต่อให้คนอื่นรับรู้ด้วย
แม้สินค้านั้นจะเป็นของธรรมดา (วัว) แต่เมื่อมีความแตกต่างที่โดดเด่น (สีม่วง) คนก็ให้ความสนใจทันที และพร้อมบอกต่อให้คนอื่นรับรู้ด้วย
โดยหลักการเบื้องหลังของแนวคิดวัวสีม่วงก็คือ ความโดดเด่นจนน่าจดจำ หรือ Remarkable
และคุณ Seth Godin ก็ตั้งใจจะนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ร่วมกับหลักการตลาด 4P ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกัน
นั่นก็คือคำว่า Product, Price, Place และ Promotion
นั่นก็คือคำว่า Product, Price, Place และ Promotion
แต่เนื่องจากคำว่า Remarkable ขึ้นต้นด้วยตัว R ไม่ใช่ตัว P
จึงเปลี่ยนคำว่า Remarkable เป็น Purple Cow แทน เพื่อให้ล้อไปกับหลักการตลาด 4P
จึงเปลี่ยนคำว่า Remarkable เป็น Purple Cow แทน เพื่อให้ล้อไปกับหลักการตลาด 4P
ซึ่งสิ่งสำคัญของการเป็นวัวสีม่วง ไม่ได้อยู่ที่ “ถูกที่สุด” หรือ “ดีที่สุด”
เพราะของเหล่านี้คือของที่หาได้ทั่ว ๆ ไป และทุกธุรกิจต่างก็แข่งขันกันทำสินค้า 2 แบบนี้ออกมา
เพราะของเหล่านี้คือของที่หาได้ทั่ว ๆ ไป และทุกธุรกิจต่างก็แข่งขันกันทำสินค้า 2 แบบนี้ออกมา
แต่สิ่งสำคัญก็คือ ต้องเป็นของที่ “โดดเด่น” และ “แตกต่าง” จากของที่มีอยู่ในตลาด
นอกจากนี้การทำสินค้าเลียนแบบตามคู่แข่งเจ้าใหญ่ในตลาด หรือปรับปรุงให้ดีขึ้นนิดหน่อย เพราะเห็นว่าเป็นสินค้าที่ได้ผลตอบรับดี ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเช่นกัน
เพราะความโดดเด่นจะไม่เกิดขึ้น เมื่อทำตามคู่แข่งที่โดดเด่นอยู่แล้วนั่นเอง
ตัวอย่างของวัวสีม่วง ขอยกตัวอย่างแบรนด์เมืองนอก ชื่อว่าสบู่ ดร.บรอนเนอร์
สิ่งที่แตกต่างจากสบู่แบรนด์อื่นก็คือ แพ็กเกจจิงที่สุดแสนจะธรรมดา ไม่ได้สวยงามอะไร แต่ว่ามีข้อความแปลก ๆ อยู่มากมายเต็มไปหมดบนแพ็กเกจจิง
เช่น
“อารมณ์ที่รุนแรงของมนุษย์เป็นแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่กว่าการศึกษา เงิน หรือขนาดสมอง”
“ทุกสิ่งที่เราทำ ขอให้เราอ่อนโยน ยุติธรรม และรักยานอวกาศที่ชื่อว่า โลก และคนข้างในนั้น”
“อารมณ์ที่รุนแรงของมนุษย์เป็นแรงขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่กว่าการศึกษา เงิน หรือขนาดสมอง”
“ทุกสิ่งที่เราทำ ขอให้เราอ่อนโยน ยุติธรรม และรักยานอวกาศที่ชื่อว่า โลก และคนข้างในนั้น”
ทำให้หลายคนที่เห็นข้อความแบบนี้ ก็หยิบสินค้ามาทำคอนเทนต์บอกต่อ พูดคุยจนเป็นกระแสบนโลกออนไลน์
นอกจากนี้ในหนังสือยังอธิบายถึงการแบ่งพฤติกรรมผู้บริโภคออกเป็น 5 กลุ่ม ตามช่วงเวลาตัดสินใจใช้เทคโนโลยีอีกด้วย ได้แก่
- The Innovators
มีสัดส่วน 2.5% เป็นกลุ่มคนที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในสังคม
มักมีความพร้อมทางด้านการเงิน และมีความต้องการลองใช้สิ่งของใหม่ ๆ เป็นคนแรก
จึงมักซื้อสินค้าล้ำสมัยมาใช้ ด้วยความต้องการของตัวเอง มากกว่าซื้อเพราะความจำเป็น
มีสัดส่วน 2.5% เป็นกลุ่มคนที่มีอยู่จำนวนไม่มากนักในสังคม
มักมีความพร้อมทางด้านการเงิน และมีความต้องการลองใช้สิ่งของใหม่ ๆ เป็นคนแรก
จึงมักซื้อสินค้าล้ำสมัยมาใช้ ด้วยความต้องการของตัวเอง มากกว่าซื้อเพราะความจำเป็น
ตัวอย่างคนกลุ่มนี้ เช่น คนที่ตัดสินใจพรีออร์เดอร์ Vision Pro แว่นตา VR/AR จากแบรนด์ Apple
- The Early Adopters
มีสัดส่วน 13.5% คนกลุ่มนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นผู้นำทางเทคโนโลยี
เนื่องจากได้ลองใช้เทคโนโลยีใหม่เป็นกลุ่มแรก ๆ และคอยแบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมาให้กับคนรอบข้าง
มีสัดส่วน 13.5% คนกลุ่มนี้อาจเรียกได้ว่า เป็นผู้นำทางเทคโนโลยี
เนื่องจากได้ลองใช้เทคโนโลยีใหม่เป็นกลุ่มแรก ๆ และคอยแบ่งปันข้อมูล ประสบการณ์ที่ได้สัมผัสมาให้กับคนรอบข้าง
สิ่งที่แตกต่างจากกลุ่ม Innovators คือ คนกลุ่มนี้จะใช้เหตุผลมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อสินค้า
ดังนั้น พวกเขาจะซื้อสินค้าก็ต่อเมื่อ มันมีประโยชน์ต่อพวกเขาจริง ๆ มากกว่าเหตุผลที่ว่าพวกเขาต้องได้เป็นเจ้าของสินค้าคนแรก
ดังนั้น พวกเขาจะซื้อสินค้าก็ต่อเมื่อ มันมีประโยชน์ต่อพวกเขาจริง ๆ มากกว่าเหตุผลที่ว่าพวกเขาต้องได้เป็นเจ้าของสินค้าคนแรก
- The Early Majority
มีสัดส่วน 34% เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเป็นกลุ่มแรก ๆ
แต่พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หากมีคนใช้สินค้าเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็พร้อมที่จะซื้อสินค้ามาใช้
มีสัดส่วน 34% เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีเป็นกลุ่มแรก ๆ
แต่พร้อมปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา หากมีคนใช้สินค้าเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็พร้อมที่จะซื้อสินค้ามาใช้
อย่างไรก็ตาม พวกเขามักจะต้องการรู้ก่อนว่าสินค้านั้นใช้งานได้ดีจริงหรือไม่
ผ่านรีวิวการใช้งานจริงจากคนกลุ่มก่อนหน้าที่เคยใช้มาแล้ว ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าจริงมาลองใช้บ้าง
ผ่านรีวิวการใช้งานจริงจากคนกลุ่มก่อนหน้าที่เคยใช้มาแล้ว ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าจริงมาลองใช้บ้าง
- The Late Majority
มีสัดส่วน 34% เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีภายหลังคนอื่น
เนื่องจากความลังเลสงสัย ความไม่สันทัดในเทคโนโลยี หรือการปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
จึงทำให้คนกลุ่มนี้เริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ช้ากว่าคนทั่วไปในสังคม
มีสัดส่วน 34% เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ในสังคมที่ตัดสินใจใช้เทคโนโลยีภายหลังคนอื่น
เนื่องจากความลังเลสงสัย ความไม่สันทัดในเทคโนโลยี หรือการปรับตัวไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
จึงทำให้คนกลุ่มนี้เริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ช้ากว่าคนทั่วไปในสังคม
- The Laggards
มีสัดส่วน 16% เป็นกลุ่มคนที่ปฏิเสธการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
มีสัดส่วน 16% เป็นกลุ่มคนที่ปฏิเสธการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง
ทำให้คนกลุ่มนี้จะเริ่มใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ก็ต่อเมื่อ
มีความจำเป็นต้องใช้จริง ๆ หรือเกิดการกดดันจากสภาพแวดล้อม เช่น
ไม่สามารถหาซื้อสินค้ารุ่นเก่าที่คุ้นเคยได้อีกต่อไป จึงจำใจต้องใช้สินค้ารุ่นใหม่แทน
มีความจำเป็นต้องใช้จริง ๆ หรือเกิดการกดดันจากสภาพแวดล้อม เช่น
ไม่สามารถหาซื้อสินค้ารุ่นเก่าที่คุ้นเคยได้อีกต่อไป จึงจำใจต้องใช้สินค้ารุ่นใหม่แทน
จากพฤติกรรมผู้บริโภคทั้ง 5 กลุ่มนี้ คุณ Seth Godin ได้เสนอว่า
กลยุทธ์การตลาดสำหรับการปล่อยสินค้าใหม่ คือ การเอาวัวสีม่วง หรือสินค้าที่มีความโดดเด่น
ไปนำเสนอให้กับคนในกลุ่ม Innovators และ Early Adopters
ไปนำเสนอให้กับคนในกลุ่ม Innovators และ Early Adopters
เพราะคน 2 กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่กล้าเสี่ยง กล้าที่จะใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ มากกว่าคนกลุ่มอื่น ๆ
หลังจากที่คน 2 กลุ่มนี้ ได้ลองใช้งานผลิตภัณฑ์แล้ว
หากผลิตภัณฑ์ดีจริง และสามารถตอบโจทย์ Pain Point ของพวกเขาได้
หากผลิตภัณฑ์ดีจริง และสามารถตอบโจทย์ Pain Point ของพวกเขาได้
พวกเขาก็จะบอกต่อผลิตภัณฑ์นั้นให้กับคนทั่วไปได้รับรู้ ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของเราทำการตลาดกับคนกลุ่มใหญ่ในสังคมได้ง่ายมากขึ้น
สรุปแล้ว แนวคิดวัวสีม่วง หรือ Purple Cow จากงานเขียนของคุณ Seth Godin คือ
การทำสินค้าที่ไม่ใช่เพียงการเลียนแบบสินค้าที่มีอยู่แล้วในตลาด หรือการทำให้ดีขึ้นนิด ๆ หน่อย ๆ
แต่สินค้าต้องแปลกใหม่ โดดเด่น สะดุดตา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วจึงนำสินค้านั้นไปเสนอขายกับคนที่เขาต้องการมันจริง ๆ
เพื่อให้คนเหล่านั้นช่วยทำหน้าที่เป็นนักการตลาดแทนตัวเรา ผ่านการบอกเล่าความแปลกใหม่ของสินค้า
แบบปากต่อปาก
แบบปากต่อปาก
จนสุดท้ายสินค้าของเราก็จะเป็นที่รู้จัก และขายได้จำนวนมาก..
อ้างอิง:
-https://medium.com/@hashim.alzain/purple-cow-19199179941b
-https://bingobook.co/book-summary/purple-cow/
-https://www.summaread.net/marketing/purple-cow
-https://www.iinnow.com/HomeRoom/Content/Diffusion-of-Innovation
-https://thedieline.com/blog/2021/4/5/message-on-a-bottle-the-story-behind-dr-bronners-soaps
-https://medium.com/@hashim.alzain/purple-cow-19199179941b
-https://bingobook.co/book-summary/purple-cow/
-https://www.summaread.net/marketing/purple-cow
-https://www.iinnow.com/HomeRoom/Content/Diffusion-of-Innovation
-https://thedieline.com/blog/2021/4/5/message-on-a-bottle-the-story-behind-dr-bronners-soaps