สรุป Marketing 6.0 ในโพสต์เดียว การตลาดยุคถัดไป จะเป็นอย่างไร ? เรื่องที่นักการตลาดต้องรู้..
7 ม.ค. 2024
Marketing 1.0 เป็นยุคที่ทุกคนแข่งกันผลิตสินค้าให้ได้ “มากที่สุด”
เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ “ถูกที่สุด” พูดง่าย ๆ คือ ใครขายของได้ถูกสุดชนะ
เพื่อให้ได้ต้นทุนที่ “ถูกที่สุด” พูดง่าย ๆ คือ ใครขายของได้ถูกสุดชนะ
Marketing 2.0 หลายธุรกิจเริ่มอยากสร้างความแตกต่าง
เกิดเป็นการผลิตสินค้าที่มี สี, รสชาติ และขนาดที่ต่างกันมากขึ้น
เกิดเป็นการผลิตสินค้าที่มี สี, รสชาติ และขนาดที่ต่างกันมากขึ้น
Marketing 3.0 เริ่มมีการทำ “แบรนด์” เพื่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้า
และเริ่มมีการแบ่งกลุ่มผู้บริโภค (Market Segmentation) กันตั้งแต่ตอนนั้น
และเริ่มมีการแบ่งกลุ่มผู้บริโภค (Market Segmentation) กันตั้งแต่ตอนนั้น
Marketing 4.0 “โซเชียลมีเดีย” สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง
Digital Marketing จึงเกิดขึ้นมา และสร้างอาชีพใหม่ ๆ อย่าง Influencer, KOL
Digital Marketing จึงเกิดขึ้นมา และสร้างอาชีพใหม่ ๆ อย่าง Influencer, KOL
Marketing 5.0 หลายแบรนด์ฟาดฟันกันด้วยการเอา “Data”
ที่มีค่าไม่ต่างจากทองคำ มาแข่งกันพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจลูกค้าที่สุด
ที่มีค่าไม่ต่างจากทองคำ มาแข่งกันพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงใจลูกค้าที่สุด
จากที่ว่ามา เป็นวิวัฒนาการของการตลาด ที่หลายแบรนด์พยายามจะปรับเปลี่ยนไปตาม “พฤติกรรมและเทคโนโลยี” ของแต่ละยุคสมัย เพื่อให้ขายของได้อยู่ตลอดเวลา
คำถามคือ ในยุคนี้ที่ AI สามารถทำงานได้ดีไม่แพ้มนุษย์ เผลอ ๆ เหนือกว่าด้วยซ้ำในบางแง่มุม
แถมพฤติกรรมของคนยังเปลี่ยนไปอย่างมาก
แถมพฤติกรรมของคนยังเปลี่ยนไปอย่างมาก
แล้วการตลาดในยุคถัดไป หรือ Marketing 6.0 จะมีหน้าตาประมาณไหน ?
บทความนี้ MarketThink ขออาสานำบางส่วนของหนังสือ Marketing 6.0
ที่ Philip Kotler บิดาแห่งการตลาดสมัยใหม่ เป็นคนเขียน มาสรุปให้แบบเข้าใจง่าย ๆ
ที่ Philip Kotler บิดาแห่งการตลาดสมัยใหม่ เป็นคนเขียน มาสรุปให้แบบเข้าใจง่าย ๆ
- Kotler มองว่า การทำตลาดแบบ Immersive และการทำตลาดบน Metaverse
จะเป็นการตลาดในยุคถัดไป
จะเป็นการตลาดในยุคถัดไป
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะต่อจากนี้ คนที่มีกำลังซื้อมากที่สุด จะเป็นคน Gen Z และ Gen Alpha
หมายความว่านี่เป็นกลุ่มที่หลายแบรนด์ จะมองข้ามไปไม่ได้แล้วหลังจากนี้
หมายความว่านี่เป็นกลุ่มที่หลายแบรนด์ จะมองข้ามไปไม่ได้แล้วหลังจากนี้
โดยคนกลุ่มนี้มีความพิเศษคือ โตมากับ Social Media ที่ไม่ใช่แค่โพสต์รูปหรือวิดีโอได้อย่างเดียว
แต่เป็นการ “ใช้ชีวิตอยู่ในนั้น” คล้ายกับโลกในเกม Roblox ที่เด็กสมัยนี้ติดกันงอมแงม
ซึ่งดูไปก็คล้ายคอนเซปต์ของโลก Metaverse อยู่เหมือนกัน
ซึ่งดูไปก็คล้ายคอนเซปต์ของโลก Metaverse อยู่เหมือนกัน
จากที่ว่ามาทำให้ Customer Journey ในยุคถัดไป จึงจำเป็นต้องให้ประสบการณ์ทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์ ที่หลายคนชอบใช้คำว่า O2O หรือ Offline-to-Online ให้เนียนที่สุด
เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เรียกว่า “Immersive” ซึ่งก็คือการใช้เทคโนโลยีโลกเสมือน มาช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น
ขอขยายความคำว่า Immersive ก็คือ การนำเทคโนโลยีในยุคใหม่ ๆ
เช่น เทคโนโลยี AR, VR, เครื่องมือเชิงโต้ตอบอื่น ๆ อย่างแช็ตบอต หรืออื่น ๆ มารวมกัน เพื่อผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
เช่น เทคโนโลยี AR, VR, เครื่องมือเชิงโต้ตอบอื่น ๆ อย่างแช็ตบอต หรืออื่น ๆ มารวมกัน เพื่อผสานโลกออฟไลน์และออนไลน์ ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ซึ่งที่ผ่านมา หลายแบรนด์ก็เริ่มมีการทำการตลาดแบบนี้ ให้เห็นกันจริง ๆ แล้ว
- IKEA เคยทำแอปพลิเคชัน โดยใช้เทคโนโลยี AR จำลองนำเฟอร์นิเจอร์มาใส่ไว้ในห้องของลูกค้า เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อ
- Walmart มีการใช้ AR มาช่วยให้พนักงานเติมสินค้าให้เร็วขึ้น เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า
- หน้าร้านยุคใหม่ ที่ไม่ต้องมีพนักงานแล้ว แค่ลูกค้าเดินเข้าไปแล้วหยิบของออกมา ก็สามารถหักเงินออกจากบัญชีได้เลย
แถมก็มีผลสำรวจที่น่าสนใจว่า การทำ Immersive Marketing
สามารถสร้างการรับรู้, การมีส่วนร่วม หรือแม้แต่เพิ่ม Brand Loyalty ได้จริง ๆ
สามารถสร้างการรับรู้, การมีส่วนร่วม หรือแม้แต่เพิ่ม Brand Loyalty ได้จริง ๆ
นอกจากนี้ Nielsen ยังพบว่า การโฆษณาผ่าน VR สามารถเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้มากถึง 8 เท่า เลยทีเดียว
ทีนี้ในฐานะนักการตลาด ถ้าอยากสร้างประสบการณ์แบบ Immersive ให้ลูกค้าบ้าง จะต้องทำอย่างไร และมีเครื่องมืออะไรบ้าง ?
Kotler ได้ให้ Framework สำหรับการทำตลาดในยุค 6.0 เอาไว้ 3 ระดับ ดังนี้..
1. The Enabler เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่ Kotler มองว่าธุรกิจต้องมี เพื่อแข่งขันในยุค 6.0
- IoT (Internet of Things) ใช้ในการเก็บ Data ของลูกค้า
- AI เพื่อประมวลผลข้อมูลในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด
- Spatial Computing คอมพิวเตอร์ที่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ เช่น Apple Vision Pro ใช้เพื่อเชื่อมโลกออฟไลน์กับออนไลน์ ไว้ด้วยกัน
- AR และ VR ใช้สร้างประสบการณ์เสมือนจริง
- Blockchain ใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการซื้อขาย
- AI เพื่อประมวลผลข้อมูลในการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด
- Spatial Computing คอมพิวเตอร์ที่ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ได้ เช่น Apple Vision Pro ใช้เพื่อเชื่อมโลกออฟไลน์กับออนไลน์ ไว้ด้วยกัน
- AR และ VR ใช้สร้างประสบการณ์เสมือนจริง
- Blockchain ใช้เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการซื้อขาย
2. The Environment สภาพแวดล้อมที่แบรนด์ควรสร้างให้ลูกค้า เพื่อมอบประสบการณ์แบบ Immersive
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ
โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ
2.1 Extended Reality เป็นการเชื่อมโยงโลกจริงกับโลกออนไลน์ ไว้ด้วยกัน
- Seamless Transaction นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาช่วยในขั้นตอนการชำระเงิน เช่น ร้าน Amazon Go ที่ให้ลูกค้าหยิบของออกไปได้เลย และจะคิดเงินเมื่อเดินผ่านเซนเซอร์
- Contextual Recommendations แบรนด์ต้องนำเสนอการตลาดที่เข้ากับบริบทของลูกค้า ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ให้ได้ เช่น ตู้ขายสินค้า ที่จะแนะนำเมนูให้เหมาะกับสภาพอากาศ ณ ช่วงเวลานั้น ๆ
- Interactive Engagement ต้องมีกิจกรรมให้ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ได้ เช่น กิจกรรมสะสมแต้มที่จะมีภารกิจให้ลูกค้าทำ
- Augmented Discoveries ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
เช่น การนำ AR มาใช้กับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ให้ลูกค้าสามารถลองดูก่อนได้ว่า สินค้าจะเหมาะกับห้องตัวเองไหม ก่อนจะตัดสินใจซื้อ
เช่น การนำ AR มาใช้กับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ให้ลูกค้าสามารถลองดูก่อนได้ว่า สินค้าจะเหมาะกับห้องตัวเองไหม ก่อนจะตัดสินใจซื้อ
- Pre and Post-Experiences แบรนด์ต้องพยายามรักษาการมีส่วนร่วมของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
2.2 Metaverse โลกเสมือนที่แบรนด์ต้องมี เพราะอีกหน่อยผู้คนจะใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
ซึ่งองค์ประกอบของ Metaverse ในมุมมองของ Kotler ก็คือ
ซึ่งองค์ประกอบของ Metaverse ในมุมมองของ Kotler ก็คือ
- Virtual Assets สินทรัพย์เสมือน คล้ายการซื้อขายที่ดินใน The Sandbox
- Avatars ร่างอวทาร์ เปรียบเป็นตัวตนของลูกค้าในโลกเสมือน
- User Experience บน Metaverse ควรให้ประสบการณ์คล้ายอยู่บนโลกจริงให้ได้มากที่สุด
- Creator Economy ระบบเศรษฐกิจบน Metaverse
- Governance ต้องมีผู้คุมกฎระเบียบ บนโลกเสมือนด้วย
- Avatars ร่างอวทาร์ เปรียบเป็นตัวตนของลูกค้าในโลกเสมือน
- User Experience บน Metaverse ควรให้ประสบการณ์คล้ายอยู่บนโลกจริงให้ได้มากที่สุด
- Creator Economy ระบบเศรษฐกิจบน Metaverse
- Governance ต้องมีผู้คุมกฎระเบียบ บนโลกเสมือนด้วย
3. The Experience รูปแบบการตลาดที่ Kotler มองว่าจะเกิดขึ้นในยุค 6.0
- Metaverse Marketing การที่แบรนด์ทำการตลาดบนโลก Metaverse ควบคู่ไปกับโลกจริง
เช่น Adidas ขายเสื้อผ้าบน Metaverse และคนซื้อ ก็จะได้สินค้าจริง ๆ บนโลกด้วย
เช่น Adidas ขายเสื้อผ้าบน Metaverse และคนซื้อ ก็จะได้สินค้าจริง ๆ บนโลกด้วย
- Spatial Marketing การที่แบรนด์แทรกโลกเสมือนเข้าไปบนโลกจริง
เช่น Ally Bank ธนาคารจากสหรัฐอเมริกา เคยทำแคมเปญเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นเกมเศรษฐี
ผ่านเทคโนโลยี AR ที่จะซ่อนอยู่ตามจุดสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ของเมือง เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์
เช่น Ally Bank ธนาคารจากสหรัฐอเมริกา เคยทำแคมเปญเปลี่ยนเมืองทั้งเมืองให้เป็นเกมเศรษฐี
ผ่านเทคโนโลยี AR ที่จะซ่อนอยู่ตามจุดสำคัญ ๆ ต่าง ๆ ของเมือง เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์
- Contextual Marketing การเสนอสินค้าที่ตรงกับบริบท ณ ตอนนั้นของลูกค้าให้ได้มากที่สุด
เช่น McDonald’s มีการเปลี่ยนภาพเมนูภายในร้าน ตามสภาพอากาศ
เช่น McDonald’s มีการเปลี่ยนภาพเมนูภายในร้าน ตามสภาพอากาศ
- Multisensory Marketing การทำการตลาดผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ได้แก่ ภาพ เสียง
รส กลิ่น และสัมผัส
รส กลิ่น และสัมผัส
อ่านมาถึงตรงนี้ เชื่อว่าหลายคนอาจจะมีคำถามในใจว่า ที่พูดมานั้นน่าจะดูไกลตัว และเป็นจริงได้ยากสักหน่อย
โดยเฉพาะกำแพงในเรื่องของ “ต้นทุน” ที่ค่อนข้างสูง
ทำให้แบรนด์เล็ก ๆ หรือธุรกิจ SME อาจยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีล้ำ ๆ ในตอนนี้
ทำให้แบรนด์เล็ก ๆ หรือธุรกิจ SME อาจยังเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีล้ำ ๆ ในตอนนี้
แถมประเด็นเรื่อง Metaverse ก็ยังเป็นอะไรที่คลุมเครือ
และไม่มีทีท่าว่า จะเกิดขึ้นจริงเร็ว ๆ นี้ เหมือนกัน
และไม่มีทีท่าว่า จะเกิดขึ้นจริงเร็ว ๆ นี้ เหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยแนวโน้มต่าง ๆ ที่เราเห็นในวันนี้
เช่น อุปกรณ์ IoT ที่ถูกลงเรื่อย ๆ แถมยังมี AI ที่เก่งแบบทวีคูณขึ้นทุกวัน
เช่น อุปกรณ์ IoT ที่ถูกลงเรื่อย ๆ แถมยังมี AI ที่เก่งแบบทวีคูณขึ้นทุกวัน
ก็น่าจะบอกเป็นนัย ๆ แล้วว่า การตลาดยุคถัดไป จะมีหน้าตาประมาณไหน
และที่เราทำได้ ก็น่าจะเป็นการเตรียมตัวและปรับตัวให้พร้อมอยู่เสมอ เพื่อเข้าสู่ยุค Marketing 6.0..
อ้างอิง:
-หนังสือ Marketing 6.0: The Future is Immersive โดย Philip Kotler et al.
-https://www.linkedin.com/pulse/rise-immersive-marketing-martechcube/
-https://www.everydaymarketing.co/book-recommended/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-marketing-6-0-the-future-is-immersive/
-https://www.bridgewaterstudio.net/blog/immersive-marketing-examples
-หนังสือ Marketing 6.0: The Future is Immersive โดย Philip Kotler et al.
-https://www.linkedin.com/pulse/rise-immersive-marketing-martechcube/
-https://www.everydaymarketing.co/book-recommended/%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%9B%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94-marketing-6-0-the-future-is-immersive/
-https://www.bridgewaterstudio.net/blog/immersive-marketing-examples