สรุปวิธีสร้างแบรนด์ 7 ยุค ในโพสต์เดียว พร้อมเคสตัวอย่าง จากแบรนด์ดัง ๆ
30 ส.ค. 2024
Branding หรือการสร้างแบรนด์ คือ การทำธุรกิจให้มีตัวตนในสายตาของลูกค้า ผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่ช่วยสร้างความรู้สึกร่วมขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น โลโก สโลแกน หรือแมสคอต
รู้หรือไม่ ? นอกจาก “การตลาด” จะมีการแบ่งออกเป็นยุค ๆ ตามวิวัฒนาการของเทคโนโลยี และพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งปัจจุบันเรากำลังอยู่ในยุค Marketing 6.0 หรือการตลาดยุค Immersive แล้ว
“การสร้างแบรนด์” ก็มีการแบ่งออกเป็นยุค ๆ เช่นกัน..
โดยการแบ่งยุคของการสร้างแบรนด์ มีชื่อทฤษฎีว่า “7 Branding Approaches”
เป็นทฤษฎีที่แบ่งแนวคิดการสร้างแบรนด์ออกเป็น 7 ยุค ตามสภาพการแข่งขันทางการตลาด พฤติกรรมของลูกค้า วิวัฒนาการของเทคโนโลยี เริ่มตั้งแต่ช่วงปี 1980s มาจนถึงช่วงปี 2015
แล้วแนวคิดการสร้างแบรนด์ทั้ง 7 ยุค แตกต่างกันอย่างไร ?
MarketThink จะสรุป พร้อมยกตัวอย่างวิธีการสร้างแบรนด์ในแต่ละยุคให้ดูกัน
MarketThink จะสรุป พร้อมยกตัวอย่างวิธีการสร้างแบรนด์ในแต่ละยุคให้ดูกัน
1. การสร้างแบรนด์ตามแนวทางเศรษฐศาสตร์ (The Economic Approach)
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงก่อนปี 1985 เป็นยุคที่ผู้บริโภคต้องการข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ
สาเหตุก็เพราะการมีรายได้ที่จำกัด ผู้บริโภคจึงพยายามมองหาสินค้าหรือบริการที่ทำให้ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านการใช้งาน และคุ้มค่าคุ้มราคา
กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ในยุคนี้ จึงผสานเข้ากับกลยุทธ์การตลาดอย่าง 4Ps (Marketing Mix) ที่ประกอบด้วย Product, Price, Place, Promotion
นั่นก็คือ
- การสร้างคุณค่าให้สินค้า เพื่อสื่อสารว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อะไร หากใช้สินค้าของแบรนด์
- การสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย เช่น ราคาถูกหรือคุ้มค่ากว่าคู่แข่ง
- การสร้างความคุ้นเคยและทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ เช่น การกระจายสินค้าไปวางขายในหลากหลายที่
- การสร้างคุณค่าให้สินค้า เพื่อสื่อสารว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อะไร หากใช้สินค้าของแบรนด์
- การสร้างภาพลักษณ์ให้เป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย เช่น ราคาถูกหรือคุ้มค่ากว่าคู่แข่ง
- การสร้างความคุ้นเคยและทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ เช่น การกระจายสินค้าไปวางขายในหลากหลายที่
2. การสร้างแบรนด์ด้วยเอกลักษณ์ (The Identity Approach)
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงกลางปี 1990s การสร้างแบรนด์ในยุคนี้จะเน้นการเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับเอกลักษณ์ขององค์กร
โดยมองว่า แบรนด์จะแข็งแกร่งได้ ต้องเกิดจากองค์กรที่ต้องมีภาพลักษณ์ที่ดี น่าเชื่อถือเช่นกัน
ซึ่งการที่จะทำให้องค์กรมีภาพลักษณ์ที่ดีได้ ก็ขึ้นอยู่กับทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก เช่น
- ปัจจัยภายใน คือ การที่พนักงานมีส่วนช่วยในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้องค์กร
- ปัจจัยภายนอก คือ การสร้างเอกลักษณ์ให้องค์กร ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ Brand Corporate Identity ให้ชัดเจน ทั้งโลโก สี ฟอนต์ แพ็กเกจจิง
- ปัจจัยภายนอก คือ การสร้างเอกลักษณ์ให้องค์กร ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบ Brand Corporate Identity ให้ชัดเจน ทั้งโลโก สี ฟอนต์ แพ็กเกจจิง
3. การสร้างแบรนด์ด้วยการเน้นที่ตัวผู้บริโภคเป็นที่ตั้ง (The Consumer-Based Approach)
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1993 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คาบเกี่ยวกับยุคที่แล้วด้วย
ในยุคนี้ มีความเชื่อว่า แบรนด์ คือ สิ่งที่อยู่ในความคิดของผู้บริโภค
ซึ่งภาพลักษณ์ ความนิยมของแต่ละแบรนด์จะเป็นอย่างไร ก็เกิดจากการรับรู้ ความเข้าใจ และการตีความของผู้บริโภคแต่ละคน
ซึ่งภาพลักษณ์ ความนิยมของแต่ละแบรนด์จะเป็นอย่างไร ก็เกิดจากการรับรู้ ความเข้าใจ และการตีความของผู้บริโภคแต่ละคน
ดังนั้น การสร้างแบรนด์ในยุคนี้ จะเน้น “ผู้บริโภค” เป็นหลัก
เช่น การสร้างแบรนด์ด้วยการเชื่อมโยง (Brand Association) ไปกับคุณค่าที่ผู้บริโภคยึดถือ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดการจดจำ และชื่นชอบในแบรนด์
ยกตัวอย่างการสร้าง Brand Association
- การเชื่อมโยงแบรนด์กับคุณสมบัติผ่านสโลแกน อย่างเช่น ฟาร์มเฮ้าส์ หอมกรุ่นจากเตา
- การเชื่อมโยงกับทัศนคติ อย่างเช่น Dove กับค่านิยม Real Beauty ที่เชื่อว่าทุกคนสวยได้ในแบบของตัวเอง
- การเชื่อมโยงแบรนด์กับคุณสมบัติผ่านสโลแกน อย่างเช่น ฟาร์มเฮ้าส์ หอมกรุ่นจากเตา
- การเชื่อมโยงกับทัศนคติ อย่างเช่น Dove กับค่านิยม Real Beauty ที่เชื่อว่าทุกคนสวยได้ในแบบของตัวเอง
4. การสร้างแบรนด์ด้วยแนวคิดด้านบุคลิกภาพ (The Personality Approach)
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1997 โดยมองว่า แบรนด์ก็เหมือนกับมนุษย์ ที่มีตัวตน มีแครักเตอร์ และเอกลักษณ์เฉพาะตัว
การมีเอกลักษณ์และตัวตนเหล่านี้เอง ที่ทำให้ผู้บริโภคจะตัดสินใจเปิดรับและเลือกซื้อสินค้าจากแบรนด์
ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้บริโภคมักจะเลือกเปิดรับและซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่สะท้อนตัวตนหรือเอกลักษณ์ที่ผู้บริโภคเป็นหรืออยากเป็นมากที่สุด
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่าย ๆ ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า แต่ละแบรนด์ก็มีแครักเตอร์ที่แตกต่างกัน
- หากผู้บริโภคชื่นชอบความมินิมัล ก็มักจะชื่นชอบ Uniqlo, MUJI
- หากผู้บริโภคอยากได้แครักเตอร์สตรีตแฟชั่น ก็มักจะเลือกซื้อ Supreme
- หากผู้บริโภคนิยมความเรียบหรู ก็มักจะชื่นชอบแบรนด์หรู อย่าง Louis Vuitton, Hermès
- หากผู้บริโภคอยากได้แครักเตอร์สตรีตแฟชั่น ก็มักจะเลือกซื้อ Supreme
- หากผู้บริโภคนิยมความเรียบหรู ก็มักจะชื่นชอบแบรนด์หรู อย่าง Louis Vuitton, Hermès
5. การสร้างแบรนด์ด้วยแนวคิดด้านความสัมพันธ์ (The Relational Approach)
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 1998 หลังจากยุคก่อน แบรนด์เปรียบเสมือนมนุษย์ มีตัวตน มีเอกลักษณ์แล้ว
มนุษย์ก็ยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วย
มนุษย์ก็ยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวด้วย
เพราะฉะนั้นในยุคนี้ เป็นยุคที่มองว่า แบรนด์ก็ต้องมีความสัมพันธ์กับผู้บริโภคเช่นกัน
ซึ่งการสร้างแบรนด์ให้มีความสัมพันธ์กับผู้บริโภค แบรนด์ต้องไม่เพียงแค่รู้ว่า ผู้บริโภคต้องการอะไร มองหาอะไรจากแบรนด์
แต่แบรนด์ต้องรู้ด้วยว่า ผู้บริโภคมีความผูกพันกับแบรนด์ในระดับไหน เช่น ผู้บริโภคอาจมองบางแบรนด์ว่า เป็นเหมือนเพื่อน เหมือนพี่น้อง เหมือนครอบครัว
ยกตัวอย่างแบรนด์ที่สร้างความผูกพันกับลูกค้าอย่างชัดเจน คือ 7-Eleven ที่วางแบรนด์ว่าเป็นเพื่อนยามหิว ผ่านสโลแกนติดหูอย่าง “หิวเมื่อไร ก็แวะมา 7-Eleven”
เมื่อวางความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคชัดเจน ทำให้ 7-Eleven มักเป็นแบรนด์ตัวเลือกแรก ๆ ในยามที่หลายคนหิวนั่นเอง..
6. การสร้างแบรนด์ด้วยแนวคิดด้านชุมชน (The Community Approach)
หลังจากที่ยุคก่อนหน้าจะเน้นไปที่ผู้บริโภค และบุคลิกภาพของแบรนด์
ในยุคนี้จะเน้นการสร้างแบรนด์ โดยมีผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างชุมชน (Community) และสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ร่วมกัน
ในยุคนี้จะเน้นการสร้างแบรนด์ โดยมีผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างชุมชน (Community) และสื่อสารเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ร่วมกัน
โดยยุคนี้เกิดขึ้นในช่วงปี 2001 ซึ่งเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตกำลังมาแรง และหลังจากนั้นไม่นานก็เริ่มมีสื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook เป็นแพลตฟอร์มตัวกลางที่ให้ผู้บริโภคเข้ามาแลกเปลี่ยนข่าวสารระหว่างกัน
ซึ่งการเกิด Community ที่ผู้บริโภคพูดคุยและแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์ร่วมกันได้นี้เอง จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภครู้สึกผูกพัน และมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) มากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างการสร้าง Community ให้เห็นภาพง่าย ๆ เช่น
- Facebook ที่มักมีการสร้างกลุ่ม (Group) โดยเป็นการรวมตัวกันของเหล่าแฟนคลับ เป็นคอมมิวนิตีเพื่ออัปเดตความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของแบรนด์
- X (Twitter) ที่มี # ให้แฟนคลับสื่อสารและติดตามเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับแบรนด์ได้ง่ายขึ้น
7. การสร้างแบรนด์ด้วยแนวคิดด้านวัฒนธรรม (The Cultural Approach)
การสร้างแบรนด์ยุคสุดท้าย ช่วงปี 2000s คือ การสร้างแบรนด์ที่เชื่อมโยงไปกับวัฒนธรรม กระแสสังคม หรือค่านิยมที่ผู้บริโภคยึดถือ เช่น
- Patagonia แบรนด์ที่เชื่อมโยงไปกับค่านิยมด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน
โดย Patagonia ไม่เพียงแต่ผลิตเสื้อผ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นผู้นำในการสนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การรณรงค์ให้ผู้บริโภคใช้สินค้าให้นานที่สุด เพื่อลดการสร้างขยะ
ทำให้ Patagonia ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมการบริโภคอย่างยั่งยืน
นอกจากแบรนด์จะเชื่อมโยงไปกับวัฒนธรรม หรือค่านิยมที่ผู้บริโภคยึดถือแล้ว แบรนด์ยังอาจเป็นตัวเปลี่ยนวัฒนธรรมหรือค่านิยมในสังคมนั้น ๆ เลยก็ได้
เช่น “iPod Culture” คือ การที่ iPod เข้ามาเปลี่ยนพฤติกรรมการฟังเพลงของผู้คน ให้สามารถฟังเพลงได้ทุกที่ เพียงแค่มี iPod เครื่องเดียว
มาถึงตรงนี้จะเห็นว่า แนวคิดการสร้างแบรนด์ก็มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าหลายสิบปี ไม่แตกต่างจากประวัติศาสตร์การตลาด
ซึ่งแนวคิดการสร้างแบรนด์เหล่านี้ ไม่ได้หมายถึงว่า แบรนด์จะเลือกวิธีสร้างแบรนด์ได้เพียงวิธีเดียว
เพราะในความเป็นจริงแล้ว ทุก ๆ แบรนด์ก็ต้องใช้วิธีการสร้างแบรนด์หลาย ๆ วิธีมาประกอบกัน จึงจะทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก เป็นที่ชื่นชอบในหมู่ผู้บริโภคได้
ยกตัวอย่างเช่น Coca-Cola ที่ใช้หลากหลายแนวคิดมาประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็น
- The Economic Approach
Coca-Cola มีการเน้นการกระจายสินค้าไปทั่วโลกในราคาที่เข้าถึงง่าย พร้อมสร้างภาพจำผ่านโฆษณา
Coca-Cola มีการเน้นการกระจายสินค้าไปทั่วโลกในราคาที่เข้าถึงง่าย พร้อมสร้างภาพจำผ่านโฆษณา
- The Identity Approach
Coca-Cola มีภาพลักษณ์องค์กรและแบรนด์อันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น Brand CI ที่ใช้สีแดงตัดกับสีขาวเป็นหลัก, การออกแบบขวดให้มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์
Coca-Cola มีภาพลักษณ์องค์กรและแบรนด์อันเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็น Brand CI ที่ใช้สีแดงตัดกับสีขาวเป็นหลัก, การออกแบบขวดให้มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์
- The Consumer-Based Approach
Coca-Cola มีการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคเสมอ ไม่ว่าจะเป็น การออก Coke Zero เพื่อตอบโจทย์เทรนด์น้ำตาล 0% ที่ผู้บริโภคกำลังนิยม
Coca-Cola มีการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคเสมอ ไม่ว่าจะเป็น การออก Coke Zero เพื่อตอบโจทย์เทรนด์น้ำตาล 0% ที่ผู้บริโภคกำลังนิยม
- The Personality Approach
Coca-Cola มีการสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์ให้ดูมีชีวิตชีวา สนุกสนาน การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
Coca-Cola มีการสร้างบุคลิกภาพของแบรนด์ให้ดูมีชีวิตชีวา สนุกสนาน การใช้ชีวิตอย่างเต็มที่
- The Relational Approach
Coca-Cola เคยจัดแคมเปญ “Share a Coke” ที่พิมพ์ชื่อลูกค้าไว้บนกระป๋อง เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ จนทำให้แคมเปญได้รับความสนใจอย่างมาก
Coca-Cola เคยจัดแคมเปญ “Share a Coke” ที่พิมพ์ชื่อลูกค้าไว้บนกระป๋อง เป็นการสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้บริโภคกับแบรนด์ จนทำให้แคมเปญได้รับความสนใจอย่างมาก
- The Community Approach และ The Cultural Approach
Coca-Cola มีการสร้างเว็บไซต์ และแฟนเพจ เพื่อสื่อสารถึงผู้บริโภคตลอดเวลา รวมถึงยังมีการรณรงค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการรีไซเคิล สอดคล้องไปกับประเด็นทางสังคมอย่างการลดโลกร้อนด้วย
Coca-Cola มีการสร้างเว็บไซต์ และแฟนเพจ เพื่อสื่อสารถึงผู้บริโภคตลอดเวลา รวมถึงยังมีการรณรงค์เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม และการรีไซเคิล สอดคล้องไปกับประเด็นทางสังคมอย่างการลดโลกร้อนด้วย
ด้วยวิธีการสร้างแบรนด์ที่หลากหลายประกอบกันเหล่านี้ ทำให้ Coca-Cola เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ มักจะนึกถึงเสมอ ๆ นั่นเอง..
อ้างอิง:
-https://blog.hamk.fi/gfb/7-branding-approaches-you-have-to-know-about/
-https://arpitsrivastava.com/branding-approaches-school-thoughts/
-https://www.linkedin.com/pulse/brand-management-vladimir-sadovsky-cg88c
-หนังสือ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์: สรรค์สร้าง สื่อสาร ส่งเสริมแบรนด์ให้เติบโต โดย สุทธิลักษณ์ หวังสันติธรรม
-https://blog.hamk.fi/gfb/7-branding-approaches-you-have-to-know-about/
-https://arpitsrivastava.com/branding-approaches-school-thoughts/
-https://www.linkedin.com/pulse/brand-management-vladimir-sadovsky-cg88c
-หนังสือ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์: สรรค์สร้าง สื่อสาร ส่งเสริมแบรนด์ให้เติบโต โดย สุทธิลักษณ์ หวังสันติธรรม