รู้จัก Freemium โมเดลธุรกิจแจกของฟรี เพื่อสร้างรายได้มหาศาลในภายหลัง
6 ก.พ. 2022
หลายคนอาจจะคิดว่าการทำธุรกิจจำเป็นต้องมีรายได้เข้ามาทันที
ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผล เพราะถ้าไม่มีรายได้ แล้วธุรกิจจะอยู่รอดอย่างไร
ซึ่งก็ดูสมเหตุสมผล เพราะถ้าไม่มีรายได้ แล้วธุรกิจจะอยู่รอดอย่างไร
แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่า การพยายามหารายได้เพียงอย่างเดียว อาจไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป
เพราะบางครั้งทำให้ธุรกิจของเราพลาดโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดไปอย่างน่าเสียดาย
เพราะบางครั้งทำให้ธุรกิจของเราพลาดโอกาสการเติบโตแบบก้าวกระโดดไปอย่างน่าเสียดาย
บทความนี้จึงอยากพูดถึงโมเดลธุรกิจที่ไม่รีบสร้างรายได้ แต่จะให้ความสำคัญกับการกอบโกยจำนวนลูกค้าก่อน เพื่อสร้างการเติบโตที่รวดเร็ว
โมเดลนี้ทุกคนคงจะคุ้นเคยอย่างแน่นอน หากเคยใช้แพลตฟอร์มเหล่านี้
เช่น YouTube, Spotify, Viu, Google Drive หรือเกม RoV
เช่น YouTube, Spotify, Viu, Google Drive หรือเกม RoV
โดยธุรกิจที่กล่าวมา ล้วนใช้ Freemium หรือโมเดลธุรกิจแจกของฟรี เพื่อเน้นสร้างรายได้มหาศาลในภายหลัง
Freemium คืออะไร ?
ก่อนอื่นต้องเล่าที่มาของชื่อ Freemium
โดย Freemium มาจากคำว่า Free และ Premium ผสมรวมกัน
มีความหมายว่า เป็นสินค้าหรือบริการที่ใช้ได้ฟรี แต่ถ้าหากอยากได้ความพิเศษหรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นมา ต้องจ่ายเงิน
มีความหมายว่า เป็นสินค้าหรือบริการที่ใช้ได้ฟรี แต่ถ้าหากอยากได้ความพิเศษหรือสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมขึ้นมา ต้องจ่ายเงิน
ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้โมเดลธุรกิจ Freemium
YouTube ปัจจุบันมีให้เลือกเป็นสมาชิกได้ 2 แบบ คือ
1. ไม่เสียเงิน แต่ต้องเจอกับโฆษณาที่เข้ามาคั่นทุก ๆ คลิปวิดีโอ
2. เสียเงิน สมัครสมาชิก Premium เพื่อไม่ให้มีโฆษณามารบกวน
1. ไม่เสียเงิน แต่ต้องเจอกับโฆษณาที่เข้ามาคั่นทุก ๆ คลิปวิดีโอ
2. เสียเงิน สมัครสมาชิก Premium เพื่อไม่ให้มีโฆษณามารบกวน
รูปแบบนี้นี่เอง ที่เรียกว่า Freemium
จะเห็นได้ว่า แพลตฟอร์มประเภทนี้จะใช้ฟรีตลอดไป ก็สามารถทำได้
แต่ถ้าหากอยากได้รับฟีเชอร์หรือประโยชน์ที่มากขึ้น คงต้องยอมเสียเงิน
จะเห็นได้ว่า แพลตฟอร์มประเภทนี้จะใช้ฟรีตลอดไป ก็สามารถทำได้
แต่ถ้าหากอยากได้รับฟีเชอร์หรือประโยชน์ที่มากขึ้น คงต้องยอมเสียเงิน
นอกจาก YouTube อีกตัวอย่างหนึ่งคือ Spotify แอปพลิเคชันสตรีมมิงฟังเพลง
ใครที่เคยใช้ Spotify แบบฟรี คงจะรู้ข้อจำกัดต่าง ๆ เช่น การมีโฆษณาคั่นระหว่างเพลง, การกดข้ามเพลงได้จำกัด และไม่สามารถดาวน์โหลดเพลงมาเก็บไว้ในเครื่องได้
แต่ถ้าหากเสียเงินไปแล้ว ข้อจำกัดเหล่านี้จะหายไปหมดเลย
อย่างไรก็ตาม ยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ยอมเสียเงินสำหรับค่าบริการ แม้จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น
แล้วอะไรคือสาเหตุให้หลายบริษัทหันมาใช้โมเดล Freemium
แล้วอะไรคือสาเหตุให้หลายบริษัทหันมาใช้โมเดล Freemium
คำตอบง่าย ๆ เลยคือ การเป็นของฟรี จะทำให้เกิดการดึงดูดให้คนเข้ามาใช้งานได้เยอะ เกิดการใช้งานในวงกว้าง เกิดความคุ้นชิน และทำให้มีกระแสการบอกต่อได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งการได้ฐานผู้ใช้งานหรือลูกค้ามาเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว สุดท้ายก็จะนำไปสู่โอกาสในการสร้างรายได้ที่มหาศาลในอนาคต นั่นเอง
ซึ่งการได้ฐานผู้ใช้งานหรือลูกค้ามาเป็นจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว สุดท้ายก็จะนำไปสู่โอกาสในการสร้างรายได้ที่มหาศาลในอนาคต นั่นเอง
ลองนึกตามว่า หากแพลตฟอร์มดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้งานได้ 1 ล้านคน
และเราสามารถเปลี่ยนลูกค้าให้สมัคร Premium ได้สัก 10% คิดค่าบริการ 50 บาทต่อเดือน
ก็จะมีรายได้ต่อเดือนถึง 5 ล้านบาทแล้ว
และเราสามารถเปลี่ยนลูกค้าให้สมัคร Premium ได้สัก 10% คิดค่าบริการ 50 บาทต่อเดือน
ก็จะมีรายได้ต่อเดือนถึง 5 ล้านบาทแล้ว
หรือหากดูตัวอย่างจริงอย่าง Spotify
ด้วยการใช้โมเดล Freemium ทำให้ปัจจุบันสตรีมมิงเจ้านี้มีผู้ใช้งาน 406 ล้านคน
โดยมีผู้ใช้งานแบบ Premium 180 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 44%
ด้วยการใช้โมเดล Freemium ทำให้ปัจจุบันสตรีมมิงเจ้านี้มีผู้ใช้งาน 406 ล้านคน
โดยมีผู้ใช้งานแบบ Premium 180 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนถึง 44%
ส่งผลให้รายได้ไตรมาสล่าสุด (ต.ค. - ธ.ค. 2021) ของบริษัทอยู่ที่ 101,516 ล้านบาท
แบ่งเป็นรายได้จากค่าสมาชิก Premium 85%
และรายได้จากค่าโฆษณา 15%
แบ่งเป็นรายได้จากค่าสมาชิก Premium 85%
และรายได้จากค่าโฆษณา 15%
ข้อดีอีกอย่าง ที่แฝงมาจากการใช้ Freemium คือ ทำให้ธุรกิจรู้จักลูกค้าได้ดีและรวดเร็วกว่าเดิม จากข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าจำนวนมาก และข้อมูลอันมีค่าต่าง ๆ
ทำให้รู้ว่าพวกเขาต้องการหรือกำลังหาอะไร และปัญหาไหนที่กำลังพบเจอ
ทำให้รู้ว่าพวกเขาต้องการหรือกำลังหาอะไร และปัญหาไหนที่กำลังพบเจอ
ซึ่งเมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้มา ยิ่งทำให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดี, นำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมธุรกิจให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
จึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมหลายธุรกิจถึงยอมทำ Freemium
แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างรายได้ในทันที
แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างรายได้ในทันที
แต่นอกจากเหล่าแอปพลิเคชันที่ใช้โมเดลธุรกิจแบบ Freemium แล้ว
มีอีกหลายธุรกิจที่ใช้โมเดลนี้เช่นกัน โดยบางคนอาจไม่รู้ตัว
มีอีกหลายธุรกิจที่ใช้โมเดลนี้เช่นกัน โดยบางคนอาจไม่รู้ตัว
ตัวอย่างเช่น เพจให้ความรู้ต่าง ๆ ตั้งแต่เรื่องการลงทุน, การทำธุรกิจ, การดูแลสุขภาพ, การทำอาหาร และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่เราเสพกัน ณ ปัจจุบัน
จะเห็นได้ว่าคอนเทนต์ตามเพจเหล่านี้ ล้วนเป็นของฟรีทั้งนั้น
แน่นอนว่าส่วนหนึ่ง เพราะมีรายได้จากค่าโฆษณาต่าง ๆ อยู่แล้ว
แน่นอนว่าส่วนหนึ่ง เพราะมีรายได้จากค่าโฆษณาต่าง ๆ อยู่แล้ว
แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ มันดึงดูดให้คนติดตามได้ง่าย และนำไปสู่การสร้างรายได้ได้อีกขั้นตามมา เมื่อเพจมีฐานลูกค้า/ผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง และเป็นที่ยอมรับแล้ว
อย่างการออกหนังสือ คอร์สอบรม หรือการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว นั่นเอง
อย่างการออกหนังสือ คอร์สอบรม หรือการให้คำปรึกษาแบบตัวต่อตัว นั่นเอง
การเป็นดาว TikTok นับว่าเป็น Freemium ได้เหมือนกัน
เพราะ TikToker แต่ละคนจะผลิตคอนเทนต์ฟรีลงบนแพลตฟอร์มอยู่แล้ว
แต่ก็สามารถสร้างรายได้ด้วยการเชิญชวนให้แฟน ๆ ส่ง Virtual Gift เพื่อแลกกับความ Exclusive เช่น การสร้างคอนเทนต์ให้โดยเฉพาะ หรือการพูดคุยระหว่างไลฟ์สด
แต่ก็สามารถสร้างรายได้ด้วยการเชิญชวนให้แฟน ๆ ส่ง Virtual Gift เพื่อแลกกับความ Exclusive เช่น การสร้างคอนเทนต์ให้โดยเฉพาะ หรือการพูดคุยระหว่างไลฟ์สด
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า เราสามารถประยุกต์ใช้ Freemium ได้กับหลายธุรกิจเลยทีเดียว
แล้วข้อควรระวังในการใช้ Freemium คืออะไร ?
สิ่งสำคัญที่ควรคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน คือ การสร้างสมดุลระหว่างคุณค่าที่ผู้ใช้งานหรือลูกค้า จะได้รับตอนใช้แบบ Free และ Premium
ก็คือต้องมีความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเจนทั้ง 2 รูปแบบ เพื่อให้คนมีแรงจูงใจในการสมัคร Premium
แต่ต้องไม่ให้สมาชิกแบบไม่เสียเงิน รู้สึกว่าไม่ได้รับคุณค่าอะไรเลยจากผลิตภัณฑ์ของเรา
แต่ต้องไม่ให้สมาชิกแบบไม่เสียเงิน รู้สึกว่าไม่ได้รับคุณค่าอะไรเลยจากผลิตภัณฑ์ของเรา
เพราะหากคุณค่าหรือประโยชน์ ที่สมาชิกแบบไม่เสียเงิน ได้รับนั้นน้อยจนเกินไป
ลูกค้าก็จะไม่ได้รับความพึงพอใจเพียงพอในการใช้งาน และไม่คิดอยากเสียเงินให้
ลูกค้าก็จะไม่ได้รับความพึงพอใจเพียงพอในการใช้งาน และไม่คิดอยากเสียเงินให้
ขณะที่หากคุณค่าหรือประโยชน์ ที่สมาชิกแบบไม่เสียเงิน ได้รับนั้นมากจนเกินไป
ลูกค้าก็จะไม่ยอมเสียเงิน เพื่อมาใช้ Premium เพราะรู้สึกว่าใช้แบบฟรี ก็เพียงพอแล้ว
ลูกค้าก็จะไม่ยอมเสียเงิน เพื่อมาใช้ Premium เพราะรู้สึกว่าใช้แบบฟรี ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นส่วนนี้ถือเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ที่จะต้องตัดสินใจให้ดี
สรุป Freemium เป็นโมเดลธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างรวดเร็วจริง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าอีกด้วย
แต่ต้องไม่ลืมว่า การที่จะใช้โมเดลนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องรักษาผลประโยชน์ในการใช้งานฟรีและแบบเสียเงินให้สมดุล ไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่ธุรกิจจะเติบโต อาจต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีคนยอมจ่ายเงินก็เป็นไปได้..
แต่ต้องไม่ลืมว่า การที่จะใช้โมเดลนี้ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี จำเป็นต้องรักษาผลประโยชน์ในการใช้งานฟรีและแบบเสียเงินให้สมดุล ไม่อย่างนั้นแล้วแทนที่ธุรกิจจะเติบโต อาจต้องปิดตัวลงเพราะไม่มีคนยอมจ่ายเงินก็เป็นไปได้..
อ้างอิง:
-https://www.investopedia.com/terms/f/freemium.asp
-https://techsauce.co/tech-and-biz/freemium-model-you-should-know
-https://investors.spotify.com/financials/press-release-details/2022/Spotify-Technology-S.A.-Announces-Financial-Results-for-Fourth-Quarter-2021/default.aspx
-https://www.investopedia.com/terms/f/freemium.asp
-https://techsauce.co/tech-and-biz/freemium-model-you-should-know
-https://investors.spotify.com/financials/press-release-details/2022/Spotify-Technology-S.A.-Announces-Financial-Results-for-Fourth-Quarter-2021/default.aspx