
สรุปการตลาด ทศวรรษ 1990 กำเนิด RFM Model และจุดเริ่มต้นยุค Digital Marketing
27 เม.ย. 2025
- ซีรีส์บทความ การตลาด 1,000 ปี โดย MarketThink
การตลาดในช่วงเข้าสู่ทศวรรษ 1990 (ปี 1990-1999) ยุคนี้เรียกว่ายุคแห่งการเปลี่ยนผ่าน ระหว่างยุคแอนะล็อก เข้าสู่ยุคดิจิทัล
ทำให้แนวคิดการตลาดในช่วงครึ่งแรกของทศวรรษนี้ ยังคงยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางอยู่ เหมือนทศวรรษก่อนหน้า
ก่อนที่ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ จะเริ่มเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค Marketing 4.0 หรือยุคเริ่มต้นของ Digital Marketing
แล้วในโลกของการตลาด ยุคสมัยนี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
..ซีรีส์บทความ การตลาด 1,000 ปี เล่าเรื่องราวความเป็นมา และวิวัฒนาการของโลกการตลาด ที่วิวัฒน์ไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกเราในแต่ละยุคสมัย ในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา โดยเพจ MarketThink..
-ทศวรรษนี้ เกิดแนวคิดการแบ่งกลุ่มลูกค้าที่น่าสนใจขึ้นมา ที่ชื่อว่า RFM Model
ในปี 1995 Tom Wansbeek และ Jan Roelf Bult ได้ตีพิมพ์บทความลงนิตยสาร Marketing Science
ในหัวข้อ “การเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตลาดทางตรง” (Optimal Selection for Direct Mail)
ในหัวข้อ “การเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการตลาดทางตรง” (Optimal Selection for Direct Mail)
งานเขียนชิ้นนี้ได้พยายามพิสูจน์ว่ากฎ 80/20 หรือ Pareto Principle เป็นความจริง
ในสมมติฐานว่า “ยอดขายกว่า 80% ของธุรกิจ มาจากลูกค้าเพียง 20% เท่านั้น”
ในสมมติฐานว่า “ยอดขายกว่า 80% ของธุรกิจ มาจากลูกค้าเพียง 20% เท่านั้น”
และยังต่อยอดกฎ 80/20 ไปอีกขั้น จนกลายเป็น RFM Model ขึ้นมา
ผ่านการแบ่งลูกค้าออกเป็น 11 กลุ่ม ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัย 3 อย่าง คือ
ผ่านการแบ่งลูกค้าออกเป็น 11 กลุ่ม ด้วยการวิเคราะห์ปัจจัย 3 อย่าง คือ
- ระยะเวลาซื้อสินค้าครั้งล่าสุด (Recency)
- ความถี่ในการซื้อ (Frequency)
- ปริมาณการซื้อต่อครั้ง (Monetary)
- ความถี่ในการซื้อ (Frequency)
- ปริมาณการซื้อต่อครั้ง (Monetary)
การแบ่งลูกค้าตามแนวคิดนี้ ทำให้ธุรกิจทำการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
เพราะไม่ได้อาศัยแค่ข้อมูลประชากรศาสตร์เท่านั้น แต่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้ามาพิจารณาร่วมด้วย
เพราะไม่ได้อาศัยแค่ข้อมูลประชากรศาสตร์เท่านั้น แต่ใช้ข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้ามาพิจารณาร่วมด้วย
ในทศวรรษ 1990 แม้ว่าสื่อหลักของยุคนี้จะยังคงเป็นหนังสือพิมพ์และสื่อสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ..
แต่ด้วยเทคโนโลยีของโทรทัศน์ที่พัฒนามากขึ้น และมีราคาที่ถูกลงกว่าแต่ก่อน
โทรทัศน์จึงเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม และเป็นที่นิยมของคนทั่วไป
โทรทัศน์จึงเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิม และเป็นที่นิยมของคนทั่วไป
ในปี 1990 ประเทศสหรัฐอเมริกา มี GDP 212.6 ล้านล้านบาท
โดยสหรัฐอเมริกามีเม็ดเงินโฆษณาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 4.8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.2% ของ GDP สหรัฐอเมริกาในตอนนั้น
โดยสหรัฐอเมริกามีเม็ดเงินโฆษณาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 4.8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2.2% ของ GDP สหรัฐอเมริกาในตอนนั้น
ซึ่งเม็ดเงินโฆษณาจำนวน 4.8 ล้านล้านบาท ถูกกระจายไปตามสื่อแต่ละประเภท ดังนี้
- หนังสือพิมพ์ 1.18 ล้านล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านการกระจายสัญญาณ (Broadcast TV) 9.7 แสนล้านบาท
- ไปรษณีย์ทางตรง 8.6 แสนล้านบาท
- สื่อเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ 6.1 แสนล้านบาท
- นิตยสาร 2.5 แสนล้านบาท
- สมุดหน้าเหลือง (Yellow Pages) 3.3 แสนล้านบาท
- วิทยุ 3.2 แสนล้านบาท
- สื่อสิ่งพิมพ์ของธุรกิจ 1 แสนล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล (Cable TV) 9.6 หมื่นล้านบาท
- บิลบอร์ด 4 หมื่นล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านการกระจายสัญญาณ (Broadcast TV) 9.7 แสนล้านบาท
- ไปรษณีย์ทางตรง 8.6 แสนล้านบาท
- สื่อเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ 6.1 แสนล้านบาท
- นิตยสาร 2.5 แสนล้านบาท
- สมุดหน้าเหลือง (Yellow Pages) 3.3 แสนล้านบาท
- วิทยุ 3.2 แสนล้านบาท
- สื่อสิ่งพิมพ์ของธุรกิจ 1 แสนล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล (Cable TV) 9.6 หมื่นล้านบาท
- บิลบอร์ด 4 หมื่นล้านบาท
ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการโฆษณาของประเทศสหรัฐอเมริกาข้างต้น
สะท้อนความนิยมของสื่อหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
สะท้อนความนิยมของสื่อหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
แม้โทรทัศน์จะไม่ตอบโจทย์การโฆษณาในทุกอุตสาหกรรม ทุกกลุ่มสินค้า
แต่ในยุคนั้นโฆษณาทางโทรทัศน์ก็เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เป็นวงกว้าง
แต่ในยุคนั้นโฆษณาทางโทรทัศน์ก็เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้เป็นวงกว้าง
เมื่อทุกบ้านเปิดโทรทัศน์ขึ้นมาชมรายการบันเทิง ข่าว หรือสารคดี
สิ่งที่ทุกคนต้องดูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ โฆษณาที่คั่นอยู่ระหว่างรายการต่าง ๆ
สิ่งที่ทุกคนต้องดูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ โฆษณาที่คั่นอยู่ระหว่างรายการต่าง ๆ
นักการตลาดในยุคนั้นจึงทุ่มงบประมาณไปกับการโฆษณาสินค้าผ่านหนังสือพิมพ์ ซึ่งยังเป็นสื่ออันดับ 1
และโทรทัศน์ สื่อที่กำลังมาแรง และเติบโตอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นอันดับ 2
และโทรทัศน์ สื่อที่กำลังมาแรง และเติบโตอย่างมากในช่วงทศวรรษ 1990 เป็นอันดับ 2
ดูเผิน ๆ สื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์เหมือนจะเป็นสื่อที่แข็งแกร่งและทรงอิทธิพลอย่างมากในเวลานั้น
และคงไม่มีใครจินตนาการออกว่า จะมีสื่อไหนมาโค่นบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ของสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ลงได้
และคงไม่มีใครจินตนาการออกว่า จะมีสื่อไหนมาโค่นบัลลังก์ความยิ่งใหญ่ของสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ลงได้
จนกระทั่งมีการถือกำเนิดขึ้น ของสิ่งประดิษฐ์ที่ชื่อว่า “สมาร์ตโฟน”
ปี 1992 คือปีที่สมาร์ตโฟนเครื่องแรกของโลกถือกำเนิดขึ้น ชื่อว่า IBM Simon
ผลิตโดยบริษัท SPC (Simon Personal Communicator) ก่อนจะเริ่มวางขายอย่างจริงจังในปี 1994
ผลิตโดยบริษัท SPC (Simon Personal Communicator) ก่อนจะเริ่มวางขายอย่างจริงจังในปี 1994
สมาร์ตโฟนเครื่องนี้มีคุณสมบัติพื้นฐาน เช่น
ใช้ระบบหน้าจอสัมผัส, สามารถรับ-ส่งอีเมลและแฟกซ์ได้ รวมถึงมีปฏิทิน และคีย์บอร์ดบนหน้าจอ
ใช้ระบบหน้าจอสัมผัส, สามารถรับ-ส่งอีเมลและแฟกซ์ได้ รวมถึงมีปฏิทิน และคีย์บอร์ดบนหน้าจอ
ฟีเชอร์ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะเรียกได้ว่าเป็น “World’s First Smartphone”
และใครจะไปคาดคิดว่า สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้จะมาสั่นคลอนบัลลังก์การเป็นผู้นำสื่อของสื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์
ที่อยู่มาอย่างยาวนานหลายสิบปีลง ด้วยเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ที่อยู่มาอย่างยาวนานหลายสิบปีลง ด้วยเวลาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น
ในอนาคตอันใกล้ พฤติกรรมของคนทั้งโลกจะเปลี่ยนไปแบบพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ
และสมาร์ตโฟนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่หลายคนขาดไปไม่ได้
และสมาร์ตโฟนจะกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์ที่หลายคนขาดไปไม่ได้
นักการตลาดต้องปรับตัวขนานใหญ่กันอีกครั้ง เพื่อเตรียมตัวเข้าสู่ยุคการตลาดออนไลน์ที่กำลังจะมาถึง
จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้
จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิดในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้
นอกจากสมาร์ตโฟนจะถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกแล้ว
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน “อินเทอร์เน็ต” หรือเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเองก็ได้รับการพัฒนามากขึ้น
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน “อินเทอร์เน็ต” หรือเทคโนโลยีการเชื่อมต่อแบบเครือข่ายเองก็ได้รับการพัฒนามากขึ้น
ในปี 1990 Tim Berners-Lee จากศูนย์วิจัย CERN ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ได้พัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ตัวแรกขึ้นมาชื่อว่า WorldWideWeb
ได้พัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ตัวแรกขึ้นมาชื่อว่า WorldWideWeb
เว็บเบราว์เซอร์ทำให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมายบนอินเทอร์เน็ตได้
อีกทั้งยังช่วยแปลงภาษาคอมพิวเตอร์ ให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปสามารถอ่านและเข้าใจได้โดยอัตโนมัติ
อีกทั้งยังช่วยแปลงภาษาคอมพิวเตอร์ ให้เป็นภาษาที่คนทั่วไปสามารถอ่านและเข้าใจได้โดยอัตโนมัติ
เมื่อเว็บเบราว์เซอร์ได้รับการพัฒนาขึ้นมา คนทั่วไปจึงสามารถเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ง่ายมากขึ้น
เพราะข้อจำกัดที่ต้องทำความเข้าใจภาษาคอมพิวเตอร์ก่อนจึงจะใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ได้หายไปแล้ว
เพราะข้อจำกัดที่ต้องทำความเข้าใจภาษาคอมพิวเตอร์ก่อนจึงจะใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ ได้หายไปแล้ว
ในปี 1990 ประชากรทั้งโลกมีจำนวนประมาณ 5,300 ล้านคน
แต่ประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ มีเพียง 3 ล้านคน จากทั่วโลกเท่านั้น
แต่ประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ มีเพียง 3 ล้านคน จากทั่วโลกเท่านั้น
โดยใน 3 ล้านคนนั้น เป็นคนในประเทศสหรัฐอเมริกา 73% และคนยุโรปตะวันตก 15%
ส่วนที่เหลือเป็นคนในประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิสราเอล ตามลำดับ
ส่วนที่เหลือเป็นคนในประเทศแคนาดา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิสราเอล ตามลำดับ
แต่ในปี 1999 ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียง 1 ทศวรรษเท่านั้น ประชากรที่เข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้านคน
โดยประเทศที่มีประชากรใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุด 5 อันดับแรก คือ
สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และแคนาดา ตามลำดับ
สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, สหราชอาณาจักร, เยอรมนี และแคนาดา ตามลำดับ
การเติบโตของยอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในช่วงทศวรรษนี้ ส่วนหนึ่งมาจากการแข่งขันของบริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ทั่วโลก
ทำให้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เช่น
ทำให้เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอินเทอร์เน็ตมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว เช่น
ปี 1993 Marc Andreessen จากมหาวิทยาลัยอิลลินอย เออร์แบนา-แชมเปญจน์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้คิดค้นเว็บเบราว์เซอร์ชื่อว่า Mosaic ขึ้นมา
ถึง Mosaic จะเกิดขึ้นมาท่ามกลางสมรภูมิรบของการแข่งขันพัฒนาสร้างเว็บเบราว์เซอร์ในยุคนั้น
แต่มันก็ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคแรก ๆ แบบถล่มทลาย
แต่มันก็ได้รับความนิยมจากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในยุคแรก ๆ แบบถล่มทลาย
ด้วยความเป็นหนึ่งในเว็บเบราว์เซอร์แบบกราฟิกตัวแรก ๆ ที่แสดงผลรูปภาพพร้อมกับข้อความในเอกสารหน้าเดียวกันได้
ในขณะที่เว็บเบราว์เซอร์รุ่นก่อน จำเป็นต้อง “คลิก” ไอคอนก่อน แล้วภาพจะดาวน์โหลดตามมาทีหลัง
Mosaic จึงทำให้การท่องอินเทอร์เน็ตมีความไหลลื่นมากขึ้น และยังเป็นต้นแบบของเว็บเบราว์เซอร์ในปัจจุบัน
Mosaic จึงทำให้การท่องอินเทอร์เน็ตมีความไหลลื่นมากขึ้น และยังเป็นต้นแบบของเว็บเบราว์เซอร์ในปัจจุบัน
ในปี 1994 มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโลกดิจิทัลและการตลาดมากมาย เช่น
- เกิด “WebCrawler” หนึ่งใน Search Engine ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก ที่ยังเปิดให้ใช้บริการอยู่จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในช่วงแรกเป็นเพียงแค่ Search Engine ที่มีเพียงตัวอักษรเท่านั้น
- เกิด Search Engine ชื่อว่า “Yahoo” ขึ้น
- เกิด Blog แรก ชื่อว่า Justin’s Links from the Underground โดยเนื้อหาข้างในเกี่ยวกับการสอนการใช้งานเว็บไซต์
- เกิดโฆษณา Online Banner Advertising ตัวแรกบนเว็บไซต์ HotWired
ซึ่งโฆษณานี้ถูกซื้อโดยบริษัท AT&T บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ สัญชาติอเมริกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมตแคมเปญ You Will ของบริษัท AT&T
ซึ่งโฆษณานี้ถูกซื้อโดยบริษัท AT&T บริษัทโทรคมนาคมขนาดใหญ่ สัญชาติอเมริกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อโปรโมตแคมเปญ You Will ของบริษัท AT&T
และยังเป็นจุดเริ่มต้นของวิธีวัดผลโฆษณาแบบ อัตราการคลิกโฆษณา หรือ CTR (Click Through Rate)
โดย CTR คำนวณได้จาก จำนวนการคลิกโฆษณา หารด้วยจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณา
โฆษณามี CTR 5% จึงหมายความว่า โฆษณาได้รับการคลิก 5 ครั้ง ต่อการแสดงผลทุก ๆ 100 ครั้ง
โฆษณามี CTR 5% จึงหมายความว่า โฆษณาได้รับการคลิก 5 ครั้ง ต่อการแสดงผลทุก ๆ 100 ครั้ง
ต่อมาในปี 1995 เว็บไซต์ขายสินค้าออนไลน์ขนาดใหญ่ของโลก อย่าง eBay และ Amazon ก็ถือกำเนิดขึ้น
นับเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ E-Commerce ในปัจจุบัน
นับเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจ E-Commerce ในปัจจุบัน
และถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการซื้อขายสินค้า
การซื้อขายสินค้าไม่ได้ถูกจำกัดบนโลกความจริงอีกต่อไป แต่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการตกลงซื้อขายสินค้ากันบนโลกออนไลน์
การซื้อขายสินค้าไม่ได้ถูกจำกัดบนโลกความจริงอีกต่อไป แต่สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการตกลงซื้อขายสินค้ากันบนโลกออนไลน์
ในปี 1996 สมาร์ตโฟนเครื่องแรกที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ชื่อว่า Nokia 9000 Communicator ก็ถือกำเนิดขึ้น
โดยสมาร์ตโฟนเครื่องนี้มีฟีเชอร์รับ-ส่งอีเมล, ท่องเว็บไซต์ พร้อมทั้งใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วไปได้
แต่ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการใช้งาน จึงยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก
แต่ยังคงมีข้อจำกัดเรื่องค่าใช้จ่ายที่สูงมากในการใช้งาน จึงยังไม่เป็นที่นิยมเท่าไรนัก
นอกจากนี้ Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft
ยังได้เขียนความเรียงในหัวข้อ “Content is King” ขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1996
ยังได้เขียนความเรียงในหัวข้อ “Content is King” ขึ้นในเดือนมกราคม ปี 1996
โดย Bill Gates บอกว่า การมาของอินเทอร์เน็ตจะช่วยสร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับทุกคนที่ใช้งาน
เหมือนกับที่สื่อดั้งเดิม (โทรทัศน์) เคยทำไว้ในทศวรรษก่อนหน้า
เหมือนกับที่สื่อดั้งเดิม (โทรทัศน์) เคยทำไว้ในทศวรรษก่อนหน้า
อินเทอร์เน็ตจะช่วยให้ข้อมูลเผยแพร่ไปได้ทั่วโลก โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมแต่อย่างใด
และโอกาสนี้เป็นของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็กหรือคนตัวใหญ่ ก็สามารถสร้างคอนเทนต์เองได้
และโอกาสนี้เป็นของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนตัวเล็กหรือคนตัวใหญ่ ก็สามารถสร้างคอนเทนต์เองได้
ซึ่งต่อมาหัวข้อความเรียงของ Bill Gates ก็ได้กลายมาเป็นหัวใจของการทำสื่อและการตลาดแบบดิจิทัล
ปี 1997 ยังเป็นปีที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชื่อว่า SixDegrees ถือกำเนิดขึ้นมา
โดย SixDegrees เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแรกที่มีการเชื่อมต่อผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคน เข้าด้วยกัน
โดย SixDegrees เป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียแรกที่มีการเชื่อมต่อผู้ใช้งานกว่า 1 ล้านคน เข้าด้วยกัน
กลายเป็นต้นแบบของเครือข่ายสังคมขนาดใหญ่บนโลกออนไลน์ที่มีรูปแบบคล้ายในปัจจุบันนี้
แตกต่างจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเก่าอื่น ๆ ที่นิยมใช้ติดต่อกันเองภายในมหาวิทยาลัยหรือองค์กร
ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องการเชื่อมต่อกับบุคคลภายนอกองค์กร
ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องการเชื่อมต่อกับบุคคลภายนอกองค์กร
และในปี 1998 Larry Page และ Sergey Brin ก็ได้ก่อตั้งบริษัทชื่อว่า Google ขึ้นมา
ชื่อ “Google” มีรากศัพท์มาจากคำว่า “Googol” ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางคณิตศาสตร์
หมายถึง จำนวน 10 ยกกำลัง 100 หรือเท่ากับเลข 1 และมี “0” ตามข้างหลังอีกหนึ่งร้อยตัว
หมายถึง จำนวน 10 ยกกำลัง 100 หรือเท่ากับเลข 1 และมี “0” ตามข้างหลังอีกหนึ่งร้อยตัว
จำนวน 10 ยกกำลัง 100 เป็นจำนวนขนาดใหญ่มหาศาลเกินกว่าจะจินตนาการได้
เพราะมันเป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนอะตอมที่มีอยู่ทั้งหมดในเอกภพเสียอีก
เพราะมันเป็นจำนวนที่มากกว่าจำนวนอะตอมที่มีอยู่ทั้งหมดในเอกภพเสียอีก
ชื่อ “Google” จึงเกี่ยวข้องกับวิสัยทัศน์ของบริษัทที่จะเข้ามาจัดการข้อมูลจำนวนมหาศาลในอินเทอร์เน็ต
และการมาของ Google จะเปลี่ยนวิถีชีวิต การเรียนรู้ และการทำงานของมนุษยชาติในอนาคตไปอย่างถาวร
และการมาของ Google จะเปลี่ยนวิถีชีวิต การเรียนรู้ และการทำงานของมนุษยชาติในอนาคตไปอย่างถาวร
ณ เวลานั้น ใครที่ต้องการสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับการเรียนหรือการทำงาน
ก็ต้องค้นหาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเดินทางไปที่ห้องสมุด และหอจดหมายเหตุ
ก็ต้องค้นหาผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือเดินทางไปที่ห้องสมุด และหอจดหมายเหตุ
แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าต่อจากเวลานั้น อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่
ข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกจะหลั่งไหลเข้าสู่อินเทอร์เน็ตอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นทะเลข้อมูลขนาดใหญ่
ข้อมูลจากทั่วทุกมุมโลกจะหลั่งไหลเข้าสู่อินเทอร์เน็ตอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นทะเลข้อมูลขนาดใหญ่
ทุกคนจะสามารถค้นหาข้อมูลเกือบทุกอย่างได้ เพียงแค่ใช้ปลายนิ้วคลิกเท่านั้น
และด้วยยอดการเติบโตจำนวนมหาศาล ของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกในทศวรรษนี้
ก็ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงของวงการการตลาดเมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษถัดไป
ก็ส่งผลกระทบอย่างมาก ต่อการเปลี่ยนแปลงของวงการการตลาดเมื่อก้าวเข้าสู่ทศวรรษถัดไป
นี่คือจุดกำเนิดของ การตลาดยุคดิจิทัล หรือ “Digital Marketing”..
____________________
____________________
..ซีรีส์บทความ การตลาด 1,000 ปี เล่าเรื่องราวความเป็นมา และวิวัฒนาการของโลกการตลาด ที่วิวัฒน์ไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกเราในแต่ละยุคสมัย ในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา
ติดตามได้ที่ เพจ MarketThink..
____________________
ติดตามได้ที่ เพจ MarketThink..
____________________
อ้างอิง :
-https://simpletexting.com/blog/where-have-we-come-since-the-first-smartphone/
-https://clickatell.netlify.app/articles/digital-marketing/brief-history-mobile-marketing/
-https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_web_browser
-http://archive.worldmapper.org/posters/worldmapper_map335_ver5.pdf
-https://www.pingdom.com/blog/15-fantastic-firsts-on-the-internet/
-http://edition.cnn.com/TECH/computing/9902/12/globalnet.idg/index.html
-https://blog.hootsuite.com/history-social-media/
-https://galbithink.org/ad-spending.htm
-https://www.purplemotes.net/2008/09/14/us-advertising-expenditure-data/
-https://www.visualcapitalist.com/evolution-global-advertising-spend-1980-2020/
-https://www.quora.com/What-was-the-first-mobile-phone-with-internet-connectivity
-https://medium.com/@HeathEvans/content-is-king-essay-by-bill-gates-1996-df74552f80d9
-https://www.actioniq.com/blog/what-is-rfm-analysis/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Google
-https://simpletexting.com/blog/where-have-we-come-since-the-first-smartphone/
-https://clickatell.netlify.app/articles/digital-marketing/brief-history-mobile-marketing/
-https://en.wikipedia.org/wiki/History_of_the_web_browser
-http://archive.worldmapper.org/posters/worldmapper_map335_ver5.pdf
-https://www.pingdom.com/blog/15-fantastic-firsts-on-the-internet/
-http://edition.cnn.com/TECH/computing/9902/12/globalnet.idg/index.html
-https://blog.hootsuite.com/history-social-media/
-https://galbithink.org/ad-spending.htm
-https://www.purplemotes.net/2008/09/14/us-advertising-expenditure-data/
-https://www.visualcapitalist.com/evolution-global-advertising-spend-1980-2020/
-https://www.quora.com/What-was-the-first-mobile-phone-with-internet-connectivity
-https://medium.com/@HeathEvans/content-is-king-essay-by-bill-gates-1996-df74552f80d9
-https://www.actioniq.com/blog/what-is-rfm-analysis/
-https://en.wikipedia.org/wiki/Google