
สรุปการตลาด ทศวรรษ 2000 ยุคแห่ง Online Marketing และจุดกำเนิด ยุคโซเชียลมีเดีย
20 เม.ย. 2025
- ซีรีส์บทความ การตลาด 1,000 ปี โดย MarketThink
ทศวรรษ 2000 หรือภาษาวัยรุ่นหน่อยเรียกกันว่า Y2K (Year 2000)
โลกของเรา ก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
โลกของเรา ก้าวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
เราพูดได้ว่า นี่คือยุคแห่ง Online Marketing หรือการตลาดบนโลกออนไลน์
แล้วในโลกของการตลาด ยุคสมัยนี้มีอะไรที่น่าสนใจบ้าง ?
..ซีรีส์บทความ การตลาด 1,000 ปี เล่าเรื่องราวความเป็นมา และวิวัฒนาการของโลกการตลาด ที่วิวัฒน์ไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกเราในแต่ละยุคสมัย ในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา โดยเพจ MarketThink..
-หลังจากที่ในทศวรรษก่อนหน้า ช่วงปี 1990-1999 โลกได้ก้าวจากยุคแอนะล็อกเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มตัว
อินเทอร์เน็ตมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับการเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก
สงครามของเทคโนโลยีเว็บเบราว์เซอร์ และ Search Engine ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในทศวรรษที่แล้ว
สงครามของเทคโนโลยีเว็บเบราว์เซอร์ และ Search Engine ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในทศวรรษที่แล้ว
พร้อม ๆ กับการมาของสมาร์ตโฟนในยุคแรกเริ่ม ซึ่งเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาในทศวรรษนี้
พฤติกรรมของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนแปลงไปทีละนิด ๆ ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษ 1990
ในยุคทศวรรษ 2000 พฤติกรรมของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้ง
ปัจจัยสำคัญมาจาก 2 บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกคือ Google และ Apple
ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และการเริ่มต้นของสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์
ที่ได้ออกผลิตภัณฑ์พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์โลกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และการเริ่มต้นของสมาร์ตโฟนแอนดรอยด์
ผู้คนจึงเริ่มใช้เวลากับโลกออนไลน์มากขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอย่างมาก
ส่งผลให้การโฆษณาในช่องทางออนไลน์ได้รับการตอบรับไปในทางที่ดี
ส่งผลให้การโฆษณาในช่องทางออนไลน์ได้รับการตอบรับไปในทางที่ดี
ในปี 2000 สหรัฐอเมริกามีขนาดเศรษฐกิจวัดตาม GDP = 358.3 ล้านล้านบาท
โดยมีเม็ดเงินในวงการโฆษณากว่า 9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2.5% ของ GDP
โดยมีเม็ดเงินในวงการโฆษณากว่า 9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 2.5% ของ GDP
ซึ่งตัวเลขนี้ เติบโตขึ้นเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับจำนวนเงินในปี 1990
แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมสื่อต่าง ๆ ในช่วงเวลานั้นได้เป็นอย่างดี
ซึ่งเม็ดเงินโฆษณาจำนวน 9 ล้านล้านบาท ถูกกระจายไปตามสื่อแต่ละประเภท ดังนี้
- หนังสือพิมพ์ 1.79 ล้านล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านการกระจายสัญญาณ (Broadcast TV) 1.64 ล้านล้านบาท
- ไปรษณีย์ทางตรง 1.63 ล้านล้านบาท
- สื่อเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ 1.17 ล้านล้านบาท
- วิทยุ 7 แสนล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล (Cable TV) 5.6 แสนล้านบาท
- สมุดหน้าเหลือง (Yellow Pages) 4.8 แสนล้านบาท
- นิตยสาร 4.5 แสนล้านบาท
- อินเทอร์เน็ต 2.4 แสนล้านบาท
- สื่อโฆษณานอกอาคาร 1.9 แสนล้านบาท
- สื่อสิ่งพิมพ์ของธุรกิจ 1.8 แสนล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านการกระจายสัญญาณ (Broadcast TV) 1.64 ล้านล้านบาท
- ไปรษณีย์ทางตรง 1.63 ล้านล้านบาท
- สื่อเบ็ดเตล็ดอื่น ๆ 1.17 ล้านล้านบาท
- วิทยุ 7 แสนล้านบาท
- โทรทัศน์ผ่านสายเคเบิล (Cable TV) 5.6 แสนล้านบาท
- สมุดหน้าเหลือง (Yellow Pages) 4.8 แสนล้านบาท
- นิตยสาร 4.5 แสนล้านบาท
- อินเทอร์เน็ต 2.4 แสนล้านบาท
- สื่อโฆษณานอกอาคาร 1.9 แสนล้านบาท
- สื่อสิ่งพิมพ์ของธุรกิจ 1.8 แสนล้านบาท
จากตัวเลขเม็ดเงินโฆษณา จะเห็นว่า ในปี 2000 สื่อที่ยังมาแรงเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2
ยังคงเป็นหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เหมือนในทศวรรษก่อนหน้า
ยังคงเป็นหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์เหมือนในทศวรรษก่อนหน้า
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจก็คือ แม้ในทศวรรษ 1990 จะมีอินเทอร์เน็ตแล้ว แต่เม็ดเงินโฆษณาในอินเทอร์เน็ตยังไม่มีการเติบโตมากเท่าไรนัก เนื่องจากยังเป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตมีผู้ใช้งานในวงจำกัดเล็ก ๆ เท่านั้น
แต่กลับกันในปี 2000 มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 361 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมดในขณะนั้นประมาณ 6,150 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเท่ากับ 5.9% ของประชากรทั้งโลก
โดยประเทศที่มีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตมากที่สุด 5 อันดับแรกในปี 2000 คือ
- สหรัฐอเมริกา 95.1 ล้านคน
- ญี่ปุ่น 47.1 ล้านคน
- เยอรมนี 24 ล้านคน
- จีน 22.5 ล้านคน
- เกาหลีใต้ 19.1 ล้านคน
- ญี่ปุ่น 47.1 ล้านคน
- เยอรมนี 24 ล้านคน
- จีน 22.5 ล้านคน
- เกาหลีใต้ 19.1 ล้านคน
ด้วยจำนวนผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นจาก 3 ล้านคนในปี 1990 กลายเป็น 361 ล้านคนในปี 2000
ทำให้เม็ดเงินโฆษณาจำนวนมหาศาลเริ่มไหลเข้าไปในสื่ออินเทอร์เน็ตมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
โดยสาเหตุที่การโฆษณาบนโลกออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็วในทศวรรษนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่า
การเติบโตของ Search Engine ที่ชื่อว่า Google
การเติบโตของ Search Engine ที่ชื่อว่า Google
ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน ปี 1998 ที่ Google เพิ่งก่อตั้งขึ้นมา
ในเวลานั้นจำนวนการค้นหาข้อมูลเฉลี่ยบน Google อยู่ที่ประมาณ 10,000 ครั้งต่อวันเท่านั้น
(ซึ่งจำนวนการค้นหา 10,000 ครั้งนี้ เท่ากับจำนวนการค้นหาต่อ 1 วินาที ในช่วงสิ้นปี 2006)
ในเวลานั้นจำนวนการค้นหาข้อมูลเฉลี่ยบน Google อยู่ที่ประมาณ 10,000 ครั้งต่อวันเท่านั้น
(ซึ่งจำนวนการค้นหา 10,000 ครั้งนี้ เท่ากับจำนวนการค้นหาต่อ 1 วินาที ในช่วงสิ้นปี 2006)
เดือนกันยายน ปี 1999 หลังจาก Google ก่อตั้งได้ 1 ปี จำนวนการค้นหาเพิ่มขึ้นไปที่ 3.5 ล้านครั้งต่อวัน
และหลังจากนั้นเพียง 9 เดือนต่อมา ในช่วงกลางปี 2000
จำนวนการค้นหาข้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 เท่า เฉลี่ยอยู่ที่ 18 ล้านครั้งต่อวัน
จำนวนการค้นหาข้อมูลก็เพิ่มสูงขึ้นเป็น 5 เท่า เฉลี่ยอยู่ที่ 18 ล้านครั้งต่อวัน
การเติบโตอย่างรวดเร็วของ Google Search ทำให้ในปี 2000 Google ตัดสินใจปล่อยผลิตภัณฑ์ใหม่
ออกมาชื่อว่า “Google Ads” หรือชื่อเต็มคือ Google AdWords
ออกมาชื่อว่า “Google Ads” หรือชื่อเต็มคือ Google AdWords
ซึ่ง Google Ads จะช่วยจัดการโฆษณาออนไลน์ต่าง ๆ บนผลิตภัณฑ์ของ Google
ทำให้การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ได้รับความสนใจจากธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้น
ทำให้การตลาดออนไลน์ (Online Marketing) ได้รับความสนใจจากธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้น
และในปีเดียวกัน ก็มีการนำข้อความ SMS มาใช้โฆษณาบนโทรศัพท์มือถือเป็นครั้งแรก เกิดเป็น Mobile Marketing
โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่ก็คือ ร้านอาหาร และร้านขายของชำ
โดยผู้ใช้งานส่วนใหญ่ก็คือ ร้านอาหาร และร้านขายของชำ
หลังจากนั้นเพียง 2 ปี การโฆษณาด้วย SMS ก็เป็นวิธีการที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
เนื่องจากนักการตลาดหลายคนมองว่า เป็นวิธีการโฆษณาที่มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับรู้ข้อมูลอย่างแน่นอน
เนื่องจากนักการตลาดหลายคนมองว่า เป็นวิธีการโฆษณาที่มั่นใจได้ว่าลูกค้าจะได้รับรู้ข้อมูลอย่างแน่นอน
ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้การโฆษณาผ่านช่องทาง SMS ในช่วงเวลานั้น เช่น
บริษัทผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬารายใหญ่ของโลกอย่าง Nike และบริษัทรถยนต์ Pontiac
บริษัทผลิตเสื้อผ้าและอุปกรณ์กีฬารายใหญ่ของโลกอย่าง Nike และบริษัทรถยนต์ Pontiac
ในปี 2004 Mark Zuckerberg ได้สร้างแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยอดนิยมที่ชื่อ Facebook ขึ้นมา
และหลังจากเปิดให้ใช้งานได้ในระยะเวลาไม่ถึงปี ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกทะลุ 1,000,000 คน
และหลังจากเปิดให้ใช้งานได้ในระยะเวลาไม่ถึงปี ก็มีผู้ใช้งานทั่วโลกทะลุ 1,000,000 คน
การมาของ Facebook เป็นการปูทางไปสู่กลยุทธ์การตลาดหลากหลายรูปแบบในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น Social Media Marketing, Content Marketing และ Influencer Marketing
ในช่วงแรกของการก่อตั้ง Facebook เป็นเพียงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เอาไว้ใช้ภายใน
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ภายหลังจึงได้ขยายแพลตฟอร์มเชื่อมต่อกับบุคคลภายนอก
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ภายหลังจึงได้ขยายแพลตฟอร์มเชื่อมต่อกับบุคคลภายนอก
โดยตัวเลขจำนวนผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม Facebook ตั้งแต่ปี 2004-2009 เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
- สิ้นปี 2004 มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน
- สิ้นปี 2005 มีผู้ใช้งาน 5.5 ล้านคน
- สิ้นปี 2006 มีผู้ใช้งาน 12 ล้านคน
- เดือนตุลาคม ปี 2007 มีผู้ใช้งาน 50 ล้านคน
- เดือนสิงหาคม ปี 2008 มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคน
- สิ้นปี 2009 มีผู้ใช้งาน 350 ล้านคน
- ปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน 2,208 ล้านคน
- สิ้นปี 2004 มีผู้ใช้งาน 1 ล้านคน
- สิ้นปี 2005 มีผู้ใช้งาน 5.5 ล้านคน
- สิ้นปี 2006 มีผู้ใช้งาน 12 ล้านคน
- เดือนตุลาคม ปี 2007 มีผู้ใช้งาน 50 ล้านคน
- เดือนสิงหาคม ปี 2008 มีผู้ใช้งาน 100 ล้านคน
- สิ้นปี 2009 มีผู้ใช้งาน 350 ล้านคน
- ปัจจุบัน มีผู้ใช้งาน 2,208 ล้านคน
การเติบโตของยอดผู้ใช้งานแบบถล่มทลายด้วยระยะเวลาเพียง 6 ปีแรก Facebook จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมาแรงของทศวรรษ และมีการปล่อยฟีเชอร์ใหม่ออกมาเรื่อย ๆ
ตัวอย่างฟีเชอร์ที่สำคัญในด้านการตลาด เช่น
- ฟีเชอร์ฟีดข่าว (News Feed) ปล่อยออกมาในปี 2006
ฟีเชอร์แสดงเนื้อหาข้อความ รูปภาพ วิดีโอ อัปเดตต่าง ๆ จากเพื่อนหรือเพจต่าง ๆ ที่กดถูกใจ
ฟีเชอร์แสดงเนื้อหาข้อความ รูปภาพ วิดีโอ อัปเดตต่าง ๆ จากเพื่อนหรือเพจต่าง ๆ ที่กดถูกใจ
- ฟีเชอร์เฟซบุ๊กเพจ (Facebook Page) ปล่อยออกมาในปี 2007
ฟีเชอร์ที่ให้แบรนด์ ธุรกิจ หรือองค์กร มีพื้นที่ได้แชร์เรื่องราวและเชื่อมต่อกับคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน
ฟีเชอร์ที่ให้แบรนด์ ธุรกิจ หรือองค์กร มีพื้นที่ได้แชร์เรื่องราวและเชื่อมต่อกับคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน
- ฟีเชอร์เฟซบุ๊กแอด (Facebook Ads) ปล่อยออกมาในปี 2007
เป็นเครื่องมือที่ให้ธุรกิจสามารถแสดงโฆษณาโดยตรงไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้
เป็นเครื่องมือที่ให้ธุรกิจสามารถแสดงโฆษณาโดยตรงไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้
- ฟีเชอร์ปุ่มไลก์ (Facebook Like Button) ปล่อยออกมาในปี 2009
ฟีเชอร์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ Facebook และแสดงถึงการมีส่วนร่วมกับแบรนด์
ฟีเชอร์ที่เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของ Facebook และแสดงถึงการมีส่วนร่วมกับแบรนด์
ต่อมาในปี 2005 อดีตพนักงาน PayPal 3 คน คือ Chad Hurley, Steve Chen และ Jawed Karim
ได้ร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิงวิดีโอระดับโลกอย่าง YouTube ขึ้นมา
ได้ร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มสตรีมมิงวิดีโอระดับโลกอย่าง YouTube ขึ้นมา
โดยคลิปวิดีโอแรกที่เผยแพร่ใน YouTube ชื่อว่า “Me at the Zoo” มีความยาวคลิป 19 วินาที
โพสต์โดย Jawed Karim หนึ่งในผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม YouTube ปัจจุบันมียอดวิวกว่า 327 ล้านวิว
โพสต์โดย Jawed Karim หนึ่งในผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์ม YouTube ปัจจุบันมียอดวิวกว่า 327 ล้านวิว
และหลังจากที่เกิดขึ้นมาได้เพียง 1 ปี YouTube ก็ถูก Google เข้าซื้อกิจการไป
หลังจากนั้น ในปี 2006 Jack Dorsey นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ได้สร้าง Twitter ขึ้น
โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มสามารถแบ่งปันข้อความสั้น ๆ กับกลุ่มคนได้ คล้ายกับการส่งข้อความ
โดยมีวัตถุประสงค์ให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มสามารถแบ่งปันข้อความสั้น ๆ กับกลุ่มคนได้ คล้ายกับการส่งข้อความ
โดยในตอนแรกใช้ชื่อว่า “twttr” และใช้สำหรับการทำงานในบริษัทพอดแคสต์ Odeo เท่านั้น
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เปิดให้ผู้คนทั่วไปได้ใช้งานกัน
แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้เปิดให้ผู้คนทั่วไปได้ใช้งานกัน
ซึ่งในช่วงเดือนแรกหลังจากเปิดให้ใช้งาน Twitter ก็เริ่มมีทวีตประมาณ 20,000 ทวีตต่อวัน
ต่อมาในอีกไม่ถึง 1 ปี ตัวเลขก็เพิ่มเป็นประมาณ 60,000 ทวีตต่อวัน
ต่อมาในอีกไม่ถึง 1 ปี ตัวเลขก็เพิ่มเป็นประมาณ 60,000 ทวีตต่อวัน
และที่สำคัญเครื่องมือทางการตลาดที่สำคัญอย่าง Hashtag ก็ได้เริ่มใช้อย่างเป็นทางการบน Twitter
การมาของ Hashtag ทำให้ผู้คนสามารถค้นหาข้อมูล, หัวข้อ, เนื้อหา และเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตัวเองสนใจ
ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายมากขึ้น
ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดายมากขึ้น
ต่อมาในปี 2007 การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในวงการเทคโนโลยีและการตลาดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง
เมื่อ Steve Jobs เปิดตัวสมาร์ตโฟนภายใต้แบรนด์ Apple รุ่นแรก ในชื่อว่า iPhone 2G
เมื่อ Steve Jobs เปิดตัวสมาร์ตโฟนภายใต้แบรนด์ Apple รุ่นแรก ในชื่อว่า iPhone 2G
ในเวลานั้น ใครที่ต้องการฟังเพลง ก็ต้องฟังจาก iPod, วิทยุ หรือแผ่น CD
ใครที่ต้องการพูดคุยสื่อสารกับคนอื่นอย่างรวดเร็ว ก็ต้องใช้โทรศัพท์ ซึ่งมีปุ่มกดมากมายอยู่บนนั้น
ใครที่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก
ใครที่ต้องการพูดคุยสื่อสารกับคนอื่นอย่างรวดเร็ว ก็ต้องใช้โทรศัพท์ ซึ่งมีปุ่มกดมากมายอยู่บนนั้น
ใครที่ต้องการใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาข้อมูล ก็ต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก
แต่ช่วงเวลานับแต่เปิดตัว iPhone นั่นคือ จุดเริ่มต้นเรื่องราวประวัติศาสตร์บทใหม่ของมนุษยชาติ
เพราะ iPhone คือ “Revolutionary Product” หรือผลิตภัณฑ์ที่มาเขย่าโลกอย่างแท้จริง
เพราะ iPhone คือ “Revolutionary Product” หรือผลิตภัณฑ์ที่มาเขย่าโลกอย่างแท้จริง
จากการรวมเอาฟีเชอร์ทั้ง 3 อย่าง ได้แก่ การฟังเพลง, การโทร และการท่องอินเทอร์เน็ต
มาอยู่รวมกันในสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว
มาอยู่รวมกันในสมาร์ตโฟนเพียงเครื่องเดียว
พร้อมด้วยการใช้งานผ่านหน้าจอแบบสัมผัสและคีย์บอร์ดที่เด้งขึ้นมาอัตโนมัติเมื่อต้องการใช้งาน
ด้วยความสามารถอันน่าทึ่งของ iPhone ที่ปรากฏแก่สายตาของคนทั้งโลก
ผลตอบรับจึงเป็นไปในทิศทางบวก ด้วยยอดขายกว่า 1,400,000 เครื่องภายในปีเดียวกัน
ผลตอบรับจึงเป็นไปในทิศทางบวก ด้วยยอดขายกว่า 1,400,000 เครื่องภายในปีเดียวกัน
ในช่วงแรกหลังจากที่คนทั้งโลกรู้จักสมาร์ตโฟนผ่านการเปิดตัวของ iPhone แล้ว
ยอดผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้
ยอดผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกก็เริ่มเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ ในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษนี้
- ปี 2007 มีผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกประมาณ 122 ล้านคน
- ปี 2008 มีผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกประมาณ 139 ล้านคน
- ปี 2009 มีผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกประมาณ 172 ล้านคน
- ปี 2008 มีผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกประมาณ 139 ล้านคน
- ปี 2009 มีผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนทั่วโลกประมาณ 172 ล้านคน
ก่อนที่ยอดผู้ใช้งานสมาร์ตโฟนจะเติบโตแบบก้าวกระโดดในทศวรรษถัดไป
การมาถึงของ iPhone และสื่อโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Twitter ในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะ
ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในปลายทศวรรษนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคในปลายทศวรรษนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
การติดตามข่าว การค้นหาข้อมูล การพูดคุยติดต่อสื่อสาร ล้วนทำได้ผ่านสมาร์ตโฟนในเครื่องเดียว
ผู้คนจึงเริ่มใช้เวลาอยู่กับหน้าจอสมาร์ตโฟนของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้คนจึงเริ่มใช้เวลาอยู่กับหน้าจอสมาร์ตโฟนของตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์อย่าง หนังสือพิมพ์และนิตยสาร มีรายได้จากการโฆษณาสูงที่สุดในปี 2007
ก่อนที่รายได้ของสื่อสิ่งพิมพ์จะตกลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนเริ่มให้ความสนใจน้อยลง
ก่อนที่รายได้ของสื่อสิ่งพิมพ์จะตกลงอย่างรวดเร็ว เพราะคนเริ่มให้ความสนใจน้อยลง
ซึ่งสวนทางกับสื่อโฆษณาออนไลน์ (Online Advertising)
ด้วยวิธี Search Engine Marketing หรือ SEM ผ่าน Google Ads ที่เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยวิธี Search Engine Marketing หรือ SEM ผ่าน Google Ads ที่เติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
ด้วยจำนวนยอดผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มมากขึ้นอย่างเทียบไม่ติดจากทศวรรษก่อนหน้า
รวมถึงการมาของสมาร์ตโฟนและสื่อโซเชียลมีเดียที่นับวันจะทวีความนิยม
และเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนทั้งโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ
รวมถึงการมาของสมาร์ตโฟนและสื่อโซเชียลมีเดียที่นับวันจะทวีความนิยม
และเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของคนทั้งโลกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ทำให้สื่อสิ่งพิมพ์ที่อยู่คู่วิถีชีวิตของคนมานานกว่า 500 ปี ต้องพบเจอกับความท้าทายอันยิ่งใหญ่
แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในทศวรรษนี้ เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของใครหลาย ๆ คนเท่านั้น
เพราะมันเทียบไม่ได้เลย กับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในทศวรรษถัดไป ที่ชื่อว่า
“ยุคโซเชียลมีเดีย”..
________________________
________________________
..ซีรีส์บทความ การตลาด 1,000 ปี เล่าเรื่องราวความเป็นมา และวิวัฒนาการของโลกการตลาด ที่วิวัฒน์ไปตามการเปลี่ยนแปลงของโลกเราในแต่ละยุคสมัย ในช่วง 1,000 ปีที่ผ่านมา
ติดตามได้ที่ เพจ MarketThink..
________________________
ติดตามได้ที่ เพจ MarketThink..
________________________
อ้างอิง :
- http://www.themillatju.online/media-history/advertising-in-the-2000s/
- https://www.swwmarketing.com/marketing-insights-blog/a-timeline-of-marketing
- https://www.swwmarketing.com/marketing-insights-blog/a-timeline-of-marketing
- https://en.wikipedia.org/wiki/HubSpot
- https://digitalmarketing.scot/brief-history-digital-marketing/
- https://www.pingdom.com/blog/incredible-growth-of-the-internet-since-2000/
- https://www.digitalvidya.com/blog/evolution-of-marketing/
- https://medium.com/@ihsannkilic/the-timeline-of-mobile-marketing-a5b08d1037d2
- https://www.britannica.com/money/Facebook
- https://www.internetlivestats.com/google-search-statistics/
- https://www.yahoo.com/news/number-active-users-facebook-over-230449748.html
- https://www.visualcapitalist.com/evolution-global-advertising-spend-1980-2020/
- https://www.linkedin.com/pulse/history-hashtags-how-symbol-changed-way-we-search
- http://www.themillatju.online/media-history/advertising-in-the-2000s/
- https://www.swwmarketing.com/marketing-insights-blog/a-timeline-of-marketing
- https://www.swwmarketing.com/marketing-insights-blog/a-timeline-of-marketing
- https://en.wikipedia.org/wiki/HubSpot
- https://digitalmarketing.scot/brief-history-digital-marketing/
- https://www.pingdom.com/blog/incredible-growth-of-the-internet-since-2000/
- https://www.digitalvidya.com/blog/evolution-of-marketing/
- https://medium.com/@ihsannkilic/the-timeline-of-mobile-marketing-a5b08d1037d2
- https://www.britannica.com/money/Facebook
- https://www.internetlivestats.com/google-search-statistics/
- https://www.yahoo.com/news/number-active-users-facebook-over-230449748.html
- https://www.visualcapitalist.com/evolution-global-advertising-spend-1980-2020/
- https://www.linkedin.com/pulse/history-hashtags-how-symbol-changed-way-we-search