กรณีศึกษา เมื่อ “บริทาเนีย” เปลี่ยนมาใช้นามสกุล “มหาชน” จะแข็งแกร่งแค่ไหน ?
16 พ.ย. 2021
หากเอ่ยถึงชื่อ “บริทาเนีย” หลายคนจะนึกถึงบริษัทอสังหาฯ
ที่โดดเด่นในเรื่องที่อยู่อาศัยแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม หรือบ้านแฝด
ที่โดดเด่นในเรื่องที่อยู่อาศัยแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม หรือบ้านแฝด
และด้วยจุดขายของบริษัทแห่งนี้คือ การสร้างที่อยู่แนวราบที่ดีไซน์หรูหรา
ทันสมัย มีเอกลักษณ์ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนต้องการมีบ้านในยุคนี้
ทันสมัย มีเอกลักษณ์ และตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนต้องการมีบ้านในยุคนี้
เลยทำให้เกือบทุกโครงการของ “บริทาเนีย” ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย
เพราะหลายคนมองว่านี่คือบริษัทอสังหาฯ ที่สร้างที่อยู่อาศัยในฝันให้แก่ตัวเอง
ทำให้รายได้บริษัทแห่งนี้เติบโตต่อเนื่องทุก ๆ ปี
เพราะหลายคนมองว่านี่คือบริษัทอสังหาฯ ที่สร้างที่อยู่อาศัยในฝันให้แก่ตัวเอง
ทำให้รายได้บริษัทแห่งนี้เติบโตต่อเนื่องทุก ๆ ปี
โดยผลประกอบการของบริษัทในช่วงที่ผ่านมา
ปี 2561 รายได้รวม 516 ล้านบาท กำไรสุทธิ 72 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 1,561 ล้านบาท กำไรสุทธิ 207 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 2,342 ล้านบาท กำไรสุทธิ 349 ล้านบาท
ปี 2561 รายได้รวม 516 ล้านบาท กำไรสุทธิ 72 ล้านบาท
ปี 2562 รายได้รวม 1,561 ล้านบาท กำไรสุทธิ 207 ล้านบาท
ปี 2563 รายได้รวม 2,342 ล้านบาท กำไรสุทธิ 349 ล้านบาท
จะเห็นว่าในแต่ละปีรายได้และกำไรของบริษัทเติบโตก้าวกระโดด
และเมื่อเส้นกราฟธุรกิจทะยานสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็เลยกลายเป็นโจทย์ทางธุรกิจที่ท้าทาย เช่นกัน
คือจะทำอย่างไรให้ “บริทาเนีย” ต่อยอดการเติบโตที่กำลังเกิดขึ้นให้ยั่งยืนในอนาคต
และเมื่อเส้นกราฟธุรกิจทะยานสูงขึ้นต่อเนื่อง ก็เลยกลายเป็นโจทย์ทางธุรกิจที่ท้าทาย เช่นกัน
คือจะทำอย่างไรให้ “บริทาเนีย” ต่อยอดการเติบโตที่กำลังเกิดขึ้นให้ยั่งยืนในอนาคต
ด้วยโจทย์นี้เองที่ทำให้ บริษัทแม่อย่าง ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI
ที่ถือหุ้น 99.99% ตัดสินใจแยก “บริทาเนีย” ออกจากตัวเอง หรือที่เรียกว่า “Spin-Off”
เพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ พร้อมกับใช้ชื่อว่า บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
ที่ถือหุ้น 99.99% ตัดสินใจแยก “บริทาเนีย” ออกจากตัวเอง หรือที่เรียกว่า “Spin-Off”
เพื่อเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ พร้อมกับใช้ชื่อว่า บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
โดยใช้ชื่อหุ้น BRI ที่จะมีการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน 252,650,000 หุ้น
คิดเป็น 29.6% ของหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ
คิดเป็น 29.6% ของหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทฯ
ซึ่งข้อดีของการที่ บริทาเนีย แยกบริษัทออกมาแล้วเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
ก็คือบริษัทจะได้เงินจากการขายหุ้นระดมทุนมาต่อยอดธุรกิจตัวเองให้เติบโต
มีอิสระและความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น
สุดท้ายก็คือทำให้คนรู้จักบริษัท “บริทาเนีย” ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
ก็คือบริษัทจะได้เงินจากการขายหุ้นระดมทุนมาต่อยอดธุรกิจตัวเองให้เติบโต
มีอิสระและความคล่องตัวในการทำงานมากขึ้น
สุดท้ายก็คือทำให้คนรู้จักบริษัท “บริทาเนีย” ได้ดีขึ้นกว่าเดิม
สรุปก็คือการเข้าตลาดหลักทรัพย์ของบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
จะเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันตลาดอสังหาฯ แนวราบ
โดยปัจจุบันบริษัทมีอยู่ 4 แบรนด์หลัก ๆ
1. เบลกราเวีย บ้านเดี่ยวระดับ Luxury ราคา 20 - 50 ล้านบาท
2. แกรนด์ บริทาเนีย บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด Premium ราคา 8-20 ล้านบาท
3. บริทาเนีย บ้านเดี่ยวในราคา 4 - 8 ล้านบาท
4. ไบรตัน บ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 2.5 - 4 ล้านบาท
จะเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันตลาดอสังหาฯ แนวราบ
โดยปัจจุบันบริษัทมีอยู่ 4 แบรนด์หลัก ๆ
1. เบลกราเวีย บ้านเดี่ยวระดับ Luxury ราคา 20 - 50 ล้านบาท
2. แกรนด์ บริทาเนีย บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด Premium ราคา 8-20 ล้านบาท
3. บริทาเนีย บ้านเดี่ยวในราคา 4 - 8 ล้านบาท
4. ไบรตัน บ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 2.5 - 4 ล้านบาท
จะเห็นว่าบริษัทแห่งนี้มีที่อยู่อาศัยแนวราบที่จับกลุ่มลูกค้าทุกระดับตั้งแต่ราคา 2.5 - 50 ล้านบาท
ทำให้มีโอกาสขายที่อยู่อาศัยแนบราบสูงกว่าคู่แข่งที่จับเฉพาะตลาดใดตลาดหนึ่ง
ทำให้มีโอกาสขายที่อยู่อาศัยแนบราบสูงกว่าคู่แข่งที่จับเฉพาะตลาดใดตลาดหนึ่ง
แม้ตรงนี้จะเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
แต่ บริทาเนีย ก็รู้ดีว่าต้องมีส่วนผสมการตลาดเชิงรุกที่มาตอบโจทย์คนที่ต้องการมีบ้านสักหลังในชีวิต
แต่ บริทาเนีย ก็รู้ดีว่าต้องมีส่วนผสมการตลาดเชิงรุกที่มาตอบโจทย์คนที่ต้องการมีบ้านสักหลังในชีวิต
ความคิดนี้เองที่ทำให้ บริทาเนีย เติบโตรวดเร็วแบบเกินคาด
เพราะรู้หรือไม่ ในปี พ.ศ. 2560 ที่บริษัทเริ่มต้นธุรกิจมีโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบแค่ 1 โครงการ
ล่าสุดปี พ.ศ. 2564 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบถึง 23 โครงการ
เพราะรู้หรือไม่ ในปี พ.ศ. 2560 ที่บริษัทเริ่มต้นธุรกิจมีโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบแค่ 1 โครงการ
ล่าสุดปี พ.ศ. 2564 บริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบถึง 23 โครงการ
และเมื่อจบไตรมาสแรกของปีนี้ บริทาเนีย
จะมีโครงการระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ มูลค่ารวม 17,550 ล้านบาท
จะมีโครงการระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 13 โครงการ มูลค่ารวม 17,550 ล้านบาท
ความสำเร็จตรงนี้ เกิดจากการมีที่อยู่อาศัยแนวราบที่ครอบคลุมกำลังซื้อลูกค้าทุกกลุ่ม
พร้อมกับทำเลที่ตั้งโครงการระดับ 5 ดาว ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกและตอนเหนือ,
สมุทรปราการ, ปทุมธานี เป็นต้น
พร้อมกับทำเลที่ตั้งโครงการระดับ 5 ดาว ไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกและตอนเหนือ,
สมุทรปราการ, ปทุมธานี เป็นต้น
ขณะเดียวกันบริษัทก็มีแนวคิด Human Centric
ที่เมื่อรู้ว่าเมื่อคนอยากเป็นเจ้าของบ้านสัก 1 หลัง ต้องการอะไร
บริษัทก็จะออกแบบโครงการนั้นให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้ชีวิตของผู้อาศัย
ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่ต้องต่อเติมบ้านให้ยุ่งยากและสิ้นเปลือง
ที่เมื่อรู้ว่าเมื่อคนอยากเป็นเจ้าของบ้านสัก 1 หลัง ต้องการอะไร
บริษัทก็จะออกแบบโครงการนั้นให้สอดคล้องกับความต้องการในการใช้ชีวิตของผู้อาศัย
ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งทำให้ผู้ซื้อบ้านไม่ต้องต่อเติมบ้านให้ยุ่งยากและสิ้นเปลือง
อีกทั้งยังมีนโยบายสร้างบริการทั้งก่อนและหลังการขายที่ใส่ใจลูกค้าอย่างเป็นกันเอง
ยกตัวอย่างเช่น มีการรับประกันโครงสร้างบ้านนาน 5 ปี
พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและติดต่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงิน
ไปจนถึงมีระบบการแจ้งซ่อม และติดตามสถานะการซ่อมผ่าน Mobile Application
ยกตัวอย่างเช่น มีการรับประกันโครงสร้างบ้านนาน 5 ปี
พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและติดต่อขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงิน
ไปจนถึงมีระบบการแจ้งซ่อม และติดตามสถานะการซ่อมผ่าน Mobile Application
ซึ่งการทำให้ตัวสินค้ามีคุณภาพในสายตาลูกค้า นั่นคือวิธีการทำตลาดที่ดีที่สุด
เพราะเมื่อลูกบ้านรู้สึกว่าโครงการที่ซื้อมีคุณภาพดี ก็จะเกิดความเชื่อมั่นและบอกต่อ
แนะนำคนอื่นทั้งใน Social Media และคนรอบข้างตัวเองให้มาซื้อที่อยู่อาศัยของ บริทาเนีย
เพราะเมื่อลูกบ้านรู้สึกว่าโครงการที่ซื้อมีคุณภาพดี ก็จะเกิดความเชื่อมั่นและบอกต่อ
แนะนำคนอื่นทั้งใน Social Media และคนรอบข้างตัวเองให้มาซื้อที่อยู่อาศัยของ บริทาเนีย
เป็นวิธีที่ถือว่ามาถูกทาง เมื่อผลสำรวจการขายระบุว่า
ค่าเฉลี่ยการขายต่อ 1 โครงการของบริทาเนียใช้เวลาแค่ 1.5 - 2 ปี
ขณะที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ระบุว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปของโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอยู่ที่ 2.7 ปี
(ผลสำรวจเมื่อไตรมาส 3 ของปี 2563)
ค่าเฉลี่ยการขายต่อ 1 โครงการของบริทาเนียใช้เวลาแค่ 1.5 - 2 ปี
ขณะที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ระบุว่าค่าเฉลี่ยทั่วไปของโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบอยู่ที่ 2.7 ปี
(ผลสำรวจเมื่อไตรมาส 3 ของปี 2563)
ส่วนเงินที่ได้จากการ IPO ครั้งนี้ นอกจากจะนำไปชำระหนี้สถาบันการเงิน
และเพิ่มสภาพคล่องในการทำธุรกิจแล้วนั้น
บริษัทก็จะนำไปลงทุนสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ
โดยที่เปิดเผย ณ เวลานี้จะมี 9 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,800 ล้านบาท
และเพิ่มสภาพคล่องในการทำธุรกิจแล้วนั้น
บริษัทก็จะนำไปลงทุนสร้างโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ
โดยที่เปิดเผย ณ เวลานี้จะมี 9 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,800 ล้านบาท
ก็ต้องบอกว่า การเติบโตของ บริทาเนีย เป็นอะไรที่เกินคาด
เพราะใครจะคิดว่า จากบริษัทลูกของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน
และมีโครงการแรกโครงการเดียวในปี พ.ศ. 2560 เวลาผ่านไปแค่ 4 ปี ปัจจุบันมีถึง 23 โครงการ
ที่มาพร้อมรายได้และกำไรที่เป็นเส้นกราฟทะยานแบบสวยงาม
เพราะใครจะคิดว่า จากบริษัทลูกของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่เพิ่งเปิดตัวไม่นาน
และมีโครงการแรกโครงการเดียวในปี พ.ศ. 2560 เวลาผ่านไปแค่ 4 ปี ปัจจุบันมีถึง 23 โครงการ
ที่มาพร้อมรายได้และกำไรที่เป็นเส้นกราฟทะยานแบบสวยงาม
ก็ต้องจับตาดูว่าเมื่อ บริทาเนีย แยกตัวจากบริษัทแม่มาเป็นบริษัท “มหาชน”
ที่มาพร้อมเงินระดมทุนและการบริหารงานที่คล่องตัวขึ้นกว่าเดิม
จะกลายเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ที่ทรงอิทธิพลในตลาด และน่าจับตามองเลยทีเดียว
ที่มาพร้อมเงินระดมทุนและการบริหารงานที่คล่องตัวขึ้นกว่าเดิม
จะกลายเป็นหนึ่งในบริษัทอสังหาฯ ที่ทรงอิทธิพลในตลาด และน่าจับตามองเลยทีเดียว
References:
-เอกสารข้อมูลไฟลิ่ง บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
-https://www.reic.or.th/News/RealEstate/442595
-เอกสารข้อมูลไฟลิ่ง บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)
-https://www.reic.or.th/News/RealEstate/442595