
Apple รายได้โต 11% ดีกว่าคาด ทำให้มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นกว่า 3,300,000 ล้านบาท ในวันเดียว
31 ก.ค. 2020
ล่าสุด Apple เพิ่งประกาศผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 (เม.ย. - มิ.ย. 2020)
โดยบริษัทมีรายได้รวม 1,866,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1,633,831 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้รวม 1,866,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ 1,633,831 ล้านบาท
โดยแบ่งเป็น รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ 1,454,939 ล้านบาท (78%) เพิ่มขึ้น 10%
รายได้ค่าบริการ 411,381 ล้านบาท (22%) เพิ่มขึ้น 15%
รายได้ค่าบริการ 411,381 ล้านบาท (22%) เพิ่มขึ้น 15%
และมีกำไรสุทธิ 351,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%
จะเห็นได้ว่ายอดขายของ Apple เติบโตทั้งฝั่งผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆ เช่น
AppleCare, Apple Music, iCloud, App Store, Apple Pay และ Apple Search Ads
AppleCare, Apple Music, iCloud, App Store, Apple Pay และ Apple Search Ads
ถ้าดูรายละเอียดในส่วนของรายได้ผลิตภัณฑ์ Apple จะมีรายได้จาก
iPhone 826,078 ล้านบาท โต 2%
Mac 221,357 ล้านบาท โต 22%
iPad 205,816 ล้านบาท โต 31%
Wearables (เช่น Apple AirPods และ Apple Watch) 201,688 ล้านบาท โต 17%
iPhone 826,078 ล้านบาท โต 2%
Mac 221,357 ล้านบาท โต 22%
iPad 205,816 ล้านบาท โต 31%
Wearables (เช่น Apple AirPods และ Apple Watch) 201,688 ล้านบาท โต 17%
โดยปกติแล้วยอดขายในฝั่งของ Wearables จะเติบโตต่อเนื่องมาโดยตลอด (ไตรมาสก่อนหน้า โต 23%)
แต่ที่น่าสนใจคือ ยอดขายฝั่งของ Mac และ iPad ที่เติบโตอย่างโดดเด่น
เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการที่ผู้คนทำงานที่บ้าน และเรียนออนไลน์กัน
ผลิตภัณฑ์ด้านนี้จึงตอบโจทย์และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
แต่ที่น่าสนใจคือ ยอดขายฝั่งของ Mac และ iPad ที่เติบโตอย่างโดดเด่น
เนื่องจากได้รับอานิสงส์จากการที่ผู้คนทำงานที่บ้าน และเรียนออนไลน์กัน
ผลิตภัณฑ์ด้านนี้จึงตอบโจทย์และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น
ส่วน iPhone ที่ยอดขายฟื้นตัว (ไตรมาสก่อนหน้า -7%)
สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากของขายในจีนฟื้นตัว โดยเฉพาะ iPhone SE รุ่นใหม่ และ iPhone 11
ซึ่งเป็นรุ่นยอดของผู้บริโภคชาวจีน
และการจัดโปรโมชันกระตุ้นของขายของ Apple ในเทศกาลชอปปิงออนไลน์ของจีนในเดือนมิถุนายน
สาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากของขายในจีนฟื้นตัว โดยเฉพาะ iPhone SE รุ่นใหม่ และ iPhone 11
ซึ่งเป็นรุ่นยอดของผู้บริโภคชาวจีน
และการจัดโปรโมชันกระตุ้นของขายของ Apple ในเทศกาลชอปปิงออนไลน์ของจีนในเดือนมิถุนายน
รวมถึงสถานการณ์คลายล็อกดาวน์ของในหลายๆประเทศทั่วโลก
ในส่วนของรายได้ทั้งหมด ถ้าแบ่งตามภูมิภาค จะมาจาก
สหรัฐฯ คิดเป็น 45%
ยุโรป 24%
จีนแผ่นดินใหญ่ 16%
ญี่ปุ่น 8%
ประเทศที่เหลือในเอเชียแปซิฟิก 7%
สหรัฐฯ คิดเป็น 45%
ยุโรป 24%
จีนแผ่นดินใหญ่ 16%
ญี่ปุ่น 8%
ประเทศที่เหลือในเอเชียแปซิฟิก 7%
ตอนนี้ Apple ยังคงถือเงินสดจำนวนมากอยู่ในบริษัทเช่นเคย
โดยมี เงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการตลาด รวมกันถึง 2,909,000 ล้านบาท
โดยมี เงินสดและหลักทรัพย์ในความต้องการตลาด รวมกันถึง 2,909,000 ล้านบาท
ส่วนเรื่องการเปิดตัว iPhone 12 ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
ทาง Apple บอกเป็นนัยๆว่า การเปิดตัวอาจล่าช้ามากกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าจะเลื่อนเป็นเดือนตุลาคม
ทาง Apple บอกเป็นนัยๆว่า การเปิดตัวอาจล่าช้ามากกว่าปกติเล็กน้อย ซึ่งคาดว่าจะเลื่อนเป็นเดือนตุลาคม
นอกจากนี้ คณะกรรมการของบริษัทยังได้อนุมัติการแตกหุ้นแบบ 4 ต่อ 1
หมายความว่าคนที่ถือหุ้น Apple อยู่ 1 หุ้น จะได้รับหุ้นเพิ่มเติมอีก 3 หุ้น ซึ่งรวมเป็น 4 หุ้น
(แต่ราคาหุ้นก็จะปรับลดลงตามสัดส่วนเช่นกัน)
หมายความว่าคนที่ถือหุ้น Apple อยู่ 1 หุ้น จะได้รับหุ้นเพิ่มเติมอีก 3 หุ้น ซึ่งรวมเป็น 4 หุ้น
(แต่ราคาหุ้นก็จะปรับลดลงตามสัดส่วนเช่นกัน)
โดยที่บริษัทแตกหุ้น ก็เพื่อต้องการให้ราคาหุ้นของ Apple ไม่แพงจนเกินไป
และเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้มากขึ้น
และเพิ่มโอกาสให้นักลงทุนรายย่อยเข้าถึงได้มากขึ้น
ซึ่งหลังจากประกาศผลประกอบการที่ดีเกินนักวิเคราะห์คาด รวมถึงประกาศการแตกหุ้น
ราคาหุ้นของ Apple ก็พุ่งไป 6.4% ทันที ในการซื้อขายนอกเวลาทำการ
คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบริษัทกว่า 3,363,000 ล้านบาท ภายในวันเดียว..
คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของมูลค่าบริษัทกว่า 3,363,000 ล้านบาท ภายในวันเดียว..
อ้างอิง : Financial Report_Q3 2020
Tag:Apple