Adecco Group เผยผลวิจัย พนักงานส่วนใหญ่ ต้องการทำงานที่ออฟฟิศ ควบคู่กับทำงานทางไกล
30 มิ.ย. 2020
Adecco Group บริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรบุคคลระดับโลก เปิดเผยผลการวิจัยล่าสุด
ในหัวข้อ “Resetting Normal: Defining the New Era of Work”
ซึ่งสำรวจผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวของโควิด ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานในสถานที่ทำงาน
ในหัวข้อ “Resetting Normal: Defining the New Era of Work”
ซึ่งสำรวจผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวของโควิด ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานในสถานที่ทำงาน
โดยการวิจัยภาคสนามได้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2563
สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามประกอบด้วยพนักงานออฟฟิศ (อายุ 18-60 ปี) ในออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ รวม 8,000 คน
สำหรับผู้ตอบแบบสอบถามประกอบด้วยพนักงานออฟฟิศ (อายุ 18-60 ปี) ในออสเตรเลีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ รวม 8,000 คน
ผลวิจัยเผยให้เห็นว่า โลกของการทำงานพร้อมแล้วสำหรับการทำงานแบบ “ลูกผสม”
โดยพนักงานสามในสี่ (74%) ที่ตอบแบบสำรวจระบุว่า การทำงานที่ออฟฟิศ ควบคู่กับการทำงานจากระยะไกลคือวิธีที่ดีที่สุด
โดยพนักงานสามในสี่ (74%) ที่ตอบแบบสำรวจระบุว่า การทำงานที่ออฟฟิศ ควบคู่กับการทำงานจากระยะไกลคือวิธีที่ดีที่สุด
ขณะเดียวกัน ผู้ตอบแบบสำรวจทุกประเทศ ทุกวัย ทั้งที่มีลูกและไม่มีลูก
ต่างต้องการแบ่งเวลาทำงานที่ออฟฟิศ (51%) และทำงานจากระยะไกล (49%) อย่างละครึ่ง
ต่างต้องการแบ่งเวลาทำงานที่ออฟฟิศ (51%) และทำงานจากระยะไกล (49%) อย่างละครึ่ง
ซึ่งผู้บริหารบริษัทก็เห็นด้วย โดยผู้บริหารเกือบแปดในสิบ (77%) เชื่อว่าธุรกิจจะได้รับประโยชน์จากการทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
อีกหนึ่งข้อมูลสำคัญได้ส่งสัญญาณถึงจุดจบของสัญญาจ้าง ที่ให้ค่าตอบแทนตามชั่วโมงทำงาน
และการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
และการทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
โดยพนักงานกว่าสองในสาม (69%) ต้องการให้ดูที่ผลงานมากกว่า
โดยมองว่าสัญญาจ้างควรให้ค่าตอบแทนตามผลงานมากกว่าชั่วโมงทำงาน
ขณะที่ผู้บริหารจำนวนมาก (74%) ก็เห็นด้วยว่าควรมีการทบทวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์
โดยมองว่าสัญญาจ้างควรให้ค่าตอบแทนตามผลงานมากกว่าชั่วโมงทำงาน
ขณะที่ผู้บริหารจำนวนมาก (74%) ก็เห็นด้วยว่าควรมีการทบทวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์
การแพร่ระบาดของโควิด ยังก่อให้เกิดความคาดหวังใหม่ต่อผู้บริหาร
และความคาดหวังเหล่านี้จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหมู่ผู้บริหารยุคใหม่
โดยความฉลาดทางอารมณ์กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
และความคาดหวังเหล่านี้จะเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหมู่ผู้บริหารยุคใหม่
โดยความฉลาดทางอารมณ์กลายเป็นคุณสมบัติสำคัญของผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามทุกประเทศยังต้องการเพิ่มทักษะของตนเอง
โดยหกในสิบระบุว่าตนเองมีทักษะดิจิทัลดีขึ้นช่วงล็อกดาวน์
ขณะที่สองในสาม (69%) ต้องการเพิ่มทักษะดิจิทัลอีกหลังสถานการณ์คลี่คลาย
โดยหกในสิบระบุว่าตนเองมีทักษะดิจิทัลดีขึ้นช่วงล็อกดาวน์
ขณะที่สองในสาม (69%) ต้องการเพิ่มทักษะดิจิทัลอีกหลังสถานการณ์คลี่คลาย
ซึ่งหลายทักษะพนักงานมองว่ามีความสำคัญ เช่น การบริหารพนักงานจากระยะไกล (65%), ทักษะทางอารมณ์และสังคม (63%) และการคิดเชิงสร้างสรรค์ (55%)