จากเงินฝังดิน สู่ หวยแสนล้านบาท
18 ก.ค. 2019
ผลสำรวจของ TMB เผยว่าใน 1 ปีมีคนไทย 20 ล้านคนซื้อ “ลอตเตอรี่”
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ ในปี 2561 สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีรายได้สูงถึง 136,695 ล้านบาท
และในจำนวน 20 ล้านคนนั้น หากเราลองคิดเป็นค่าเฉลี่ย 1 คนทำรายได้ให้แก่ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลอยู่ที่คนละ 6,834.75 บาทต่อปี หรือ 569.56 บาทต่อเดือน
ตัวเลข 569.56 บาทต่อเดือน
หากมองในเชิงธุรกิจต้องบอกว่าเป็นตัวเลขมูลค่าทางการตลาดที่มหาศาล เพราะไม่ต่างอะไรจากที่คนต้องจ่าย ค่าไฟฟ้า ค่าบิลโทรศัพท์ในแต่ละเดือน
แต่รู้หรือไม่ว่า...กว่าที่ลอตเตอรี่จะกลายเป็นที่นิยมของคนไทย ต้นกำเนิดที่แท้จริงเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อ
เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปในปี พ.ศ. 2375 ในสมัยรัชกาลที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่ข้าวยากหมากแพง จนทำให้ประชาชนไม่กล้าใช้เงิน แล้วแอบเอาเงินไปฝังลงในดิน
ผลที่ตามมาคือไม่มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหากปล่อยไว้นานวัน สภาพเศรษฐกิจก็จะแย่ลงไปอีก
เมื่อเรื่องเป็นเช่นนี้ ทำให้ รัชกาลที่ 3 ได้ทรงคิดค้นวิธีให้ประชาชนนำเงินที่แอบฝังดินไว้ออกมาใช้จ่าย จึงโปรดเกล้าฯ ให้พระศรีไชยบาล (จีนหง) ตั้งโรงหวยขึ้นมา
จึงเป็นที่มาของหวยประเภทแรกที่คนไทยรู้จัก เรียกว่า "ฮวยหวย" (花會) แปลว่า ชุมนุมดอกไม้
ซึ่งเป็นการแกะสลักรูปดอกไม้ชนิดต่างๆ บนป้ายหวย จากนั้นค่อยพัฒนาเปลี่ยนมาเป็นทายชื่อบุคคลสำคัญของจีนในอดีตที่มีจำนวน 34 ป้าย
โดยเจ้ามือหวยซึ่งเป็นคนจีนจะเลือก 1 ป้ายชื่อ ใส่ลงกระบอกปิดฝาแล้วแขวนไว้บนหลังคาโรงหวย ส่วนคนเล่นจะทายว่าชื่อในกระบอกคือชื่อใคร หากทายถูกเจ้ามือจะต้องจ่าย 30 ต่อ 1
แต่...ก็ยังไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะยังมีจุดอ่อนที่สำคัญคือการใช้อักษรจีนในป้ายหวย แต่คนไทยส่วนใหญ่ในยุคนั้นไม่ค่อยรู้จักอักษรจีน
แน่นอนปัญหานี้ได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วนจากหวยภาษาจีน ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น อักษรไทย 36 ตัว พร้อมกับชื่อใหม่ "หวย ก ข"
เรื่องนี้เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ หวย ได้รับความนิยมอย่างสูง กลายเป็นอีกหนึ่งรายได้หลักของรัฐฯ ขณะเดียวกันก็เกิดขุนบานเถื่อนขึ้นทั่วประเทศ หรือเจ้ามือหวยแบบผิดกฎหมายนั้นเอง
เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการออก “ลอตเตอรี่” เป็นครั้งแรกในประเทศ และมีการออกอยู่บ่อยครั้งตามวาระพิเศษ โดยส่วนใหญ่ก็เพื่อหารายได้ช่วยบำรุงสาธารณกุศล
จนมาถึงรัชกาลที่ 6 ทรงประกาศให้ยกเลิก “หวย ก ข” เพราะเห็นว่าเกิดปัญหาสังคมมากมายจากกลุ่มขุนบานเถื่อน
หลังจากนั้นก็มีการออก ลอตเตอรี่ ต่างๆ มากมายที่รัฐบาลเป็นผู้ควบคุมทั้งหมด เช่น ลอตเตอรี่เสือป่า, ลอตเตอรี่รัฐบาลสยาม, สลากกินแบ่งบำรุงเทศบาล โดยเป้าหมายทั้งหมดคือหารายได้การกุศล และหารายได้เข้าสู่ภาครัฐ
จนมาถึงยุคที่ ลอตเตอรี่ เป็นธุรกิจของรัฐบาลอย่างจริงจังเมื่อได้มีการก่อตั้ง “สำนักงานสลาก กินแบ่งรัฐบาล” ในปี พ.ศ. 2482
จากนั้นในปี พ.ศ. 2517 มีการออกพระราชบัญญัติให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง ถัดมาไม่นานนักก็มีการออกผลรางวัล ทุกวันที่ 1 และ 16 ของเดือน (วันออกผลรางวัลอาจมีเปลี่ยนแปลงบางครั้ง)
ที่น่าสนใจกว่านั้นก็คือ รายได้ของ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะหากเราย้อนอดีตกลับไปดูรายได้ในปี พ.ศ. 2554 อยู่ที่ 59,813 ล้านบาท
แต่รายได้ล่าสุดของ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2561 อยู่ที่ 136,695 ล้านบาท
จะเห็นว่าภายใน 7 ปีมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว
ที่น่าสนใจก็คือ รายได้ของ สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกๆ ปี
คนไทยที่ซื้อหวยมีทั้งซื้อแบบขำๆ หรือซื้อแบบจริงจัง ทุ่มเงินซื้อเลขเด็ดแบบไม่อั้น
ไม่ว่าจะซื้อแบบไหน แต่ลึกๆ ในใจทุกคนก่อนควักเงินซื้อ ลอตเตอรี่ ก็ฝันว่ากระดาษแผ่นเดียวจะเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้นั่นเอง
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
References : TMB Analytics - wikipedia - 188betthailand.net - สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
References : TMB Analytics - wikipedia - 188betthailand.net - สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล