อธิบายกลยุทธ์ Generic Strategies วิธีหาความได้เปรียบ ให้ธุรกิจเรา ในแต่ละโซนที่ลงแข่ง
20 ต.ค. 2024
Competitive Advantage หรือ ข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน
หมายถึง การที่แบรนด์หนึ่งมีความได้เปรียบกว่า ไม่ว่าจะด้านใดด้านหนึ่งหรือหลาย ๆ ด้าน เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ที่ทำธุรกิจเดียวกันหรือคล้าย ๆ กัน
หมายถึง การที่แบรนด์หนึ่งมีความได้เปรียบกว่า ไม่ว่าจะด้านใดด้านหนึ่งหรือหลาย ๆ ด้าน เมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น ที่ทำธุรกิจเดียวกันหรือคล้าย ๆ กัน
และด้วยความได้เปรียบ ทำให้แบรนด์มีโอกาสเป็นผู้นำตลาด มีส่วนแบ่งทางการตลาด และมีความน่าเชื่อถือมากกว่าแบรนด์อื่น ๆ
ประเด็นคือ เราจะวางแผนหรือดึงจุดเด่นของเราอย่างไร ให้เรามี Competitive Advantage เพื่อให้สู้กับคู่แข่งได้ดีที่สุด ?
ตามทฤษฎีการตลาด มีอยู่ทฤษฎีหนึ่งชื่อว่า “Generic Strategies” คือ ทฤษฎีที่ช่วยให้แบรนด์วางกลยุทธ์การแข่งขัน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ให้ชนะคู่แข่ง
- Generic Strategies เป็นทฤษฎีที่คิดค้นขึ้นในปี 1980 โดยคุณ Michael E. Porter นักธุรกิจและอาจารย์มหาวิทยาลัย Harvard เจ้าของทฤษฎีดังอย่าง Five Forces Model
ทฤษฎีนี้ คุณ Porter ได้แบ่งข้อได้เปรียบทางการแข่งขันออกเป็น 3 ข้อหลัก ๆ
ซึ่งต้องเริ่มจากการวางแบรนด์บนแกน X, Y ตามที่ทฤษฎีกำหนด (ตามรูปภาพประกอบของบทความนี้)
ซึ่งต้องเริ่มจากการวางแบรนด์บนแกน X, Y ตามที่ทฤษฎีกำหนด (ตามรูปภาพประกอบของบทความนี้)
แกน X คือ Competitive Scope หมายถึง ขอบเขตตลาดที่แบรนด์เข้าแข่งขัน แบ่งออกเป็น
- Total Market หมายถึง แบรนด์เข้าแข่งขันในตลาดที่มีความกว้างขวาง หรือ Mass Market
- Narrow Market หมายถึง แบรนด์เข้าแข่งขันในตลาดเฉพาะ ที่เน้นขายหรือให้บริการลูกค้าเฉพาะกลุ่ม หรือ Niche Market
ส่วนแกน Y คือ Competitive Advantage แสดงความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยแบ่งออกเป็น
- Low Cost การเป็นแบรนด์ที่เน้นแข่งด้วยราคา คุมต้นทุนให้ต่ำ ๆ ทำให้สามารถเสนอราคาขายสินค้าหรือบริการที่ต่ำกว่าคู่แข่งได้
- Differentiation การเป็นแบรนด์ที่เน้นสร้างความแตกต่างให้สินค้าและบริการ
ทีนี้เมื่อวางตำแหน่งเรียบร้อยแล้ว ก็จะออกมาเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่แบรนด์ควรโฟกัส ได้แก่
1. Cost Leadership (แบรนด์ที่แข่งขันในตลาด Mass และเน้นเรื่องลดต้นทุน)
ข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของแบรนด์ประเภทนี้คือ การมี “ต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่ง” ไม่ว่าจะเป็น
- การผลิตสินค้าในปริมาณมาก ๆ เพื่อลดต้นทุนต่อหน่วยให้ต่ำลง หรือที่เรียกว่า เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale)
เช่น MIXUE เชนร้านไอศกรีมและเครื่องดื่มจากจีน ที่เน้นขายสินค้าราคาถูก เริ่มต้นเพียง 15-20 บาท
ซึ่งข้อได้เปรียบคือ มีสาขาเยอะมากกว่า 36,000 สาขาทั่วโลก
ซึ่งข้อได้เปรียบคือ มีสาขาเยอะมากกว่า 36,000 สาขาทั่วโลก
ทำให้ MIXUE สามารถสั่งวัตถุดิบทีละมาก ๆ เน้นผลิตในปริมาณมาก ๆ
จนมีอำนาจต่อรองราคาต้นทุนกับซัปพลายเออร์สูงมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำลงได้มาก
ซึ่งแบบนี้ เรียกว่าการเกิด Economies of Scale
จนมีอำนาจต่อรองราคาต้นทุนกับซัปพลายเออร์สูงมาก ทำให้ต้นทุนการผลิตเฉลี่ยต่อหน่วยต่ำลงได้มาก
ซึ่งแบบนี้ เรียกว่าการเกิด Economies of Scale
- การลดต้นทุนด้านการบริการ เช่น สายการบินโลว์คอสต์อย่าง Thai AirAsia, Nok Air, Thai VietJet ที่ไม่มีบริการเสริม ไม่เสิร์ฟอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งหากผู้โดยสารต้องการ ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม
ซึ่งแบรนด์ที่เหมาะกับกลยุทธ์ Cost Leadership คือ แบรนด์ที่ลูกค้ามีความอ่อนไหวต่อราคาสูง (High Price Sensitivity) หรือลูกค้าที่ให้ความสำคัญกับเรื่องราคาของสินค้าเป็นพิเศษ
เช่น
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหารสด ผงซักฟอก ยาสระผม
- สินค้า Low Switching Cost หรือสินค้าที่หาทดแทนได้ง่าย เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง แบรนด์น้ำดื่มต่าง ๆ
- สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหารสด ผงซักฟอก ยาสระผม
- สินค้า Low Switching Cost หรือสินค้าที่หาทดแทนได้ง่าย เช่น เครื่องดื่มชูกำลัง แบรนด์น้ำดื่มต่าง ๆ
2. Differentiation (แบรนด์ที่แข่งขันในตลาด Mass และเน้นสร้างความแตกต่าง)
ถ้าแบรนด์ไม่แข่งกับคู่แข่งด้วยราคาต่ำ อีกข้อได้เปรียบทางการแข่งขันของแบรนด์ คือ การที่สินค้าหรือบริการมีความแตกต่าง จากแบรนด์คู่แข่งอย่างชัดเจน หรือที่ภาษาการตลาดเรียกว่า การทำ “Product Differentiation”
ซึ่งความแตกต่างก็มีได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น แตกต่างด้านสินค้าและบริการ, แตกต่างด้านภาพลักษณ์, แตกต่างด้านการบริการ
ยกตัวอย่างเช่น
- Apple ที่โดดเด่นจากคู่แข่งด้วยการออกแบบและเทคโนโลยี เช่น การสร้าง Ecosystem ให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ใช้ร่วมกันได้แบบง่าย ๆ
ทั้งนี้ ไม่ว่าแบรนด์จะแตกต่างจากคู่แข่งในด้านไหน ๆ
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความแตกต่างต้องมีคุณค่าในสายตาลูกค้า และความแตกต่างนั้นต้องเป็นสิ่งที่คู่แข่ง “เลียนแบบได้ยาก” จึงจะทำให้เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้มากที่สุด
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความแตกต่างต้องมีคุณค่าในสายตาลูกค้า และความแตกต่างนั้นต้องเป็นสิ่งที่คู่แข่ง “เลียนแบบได้ยาก” จึงจะทำให้เกิดข้อได้เปรียบในการแข่งขันได้มากที่สุด
3. Focus (แบรนด์ที่แข่งขันในตลาด โดยเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่ม)
สำหรับแบรนด์ที่เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะกลุ่ม สามารถสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด ได้ 2 รูปแบบ ได้แก่
- Cost Focus คือ การที่แบรนด์สร้างความได้เปรียบด้านต้นทุนคล้ายกับ Cost Leadership
แต่ที่แตกต่างกันคือ Cost Focus จะเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่ต้องการสินค้าราคาประหยัดโดยเฉพาะ
แต่ที่แตกต่างกันคือ Cost Focus จะเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่ต้องการสินค้าราคาประหยัดโดยเฉพาะ
ยกตัวอย่างเช่น IKEA เป็นแบรนด์เฟอร์นิเจอร์สัญชาติสวีเดน ที่นอกจากจะเน้นลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น วัยทำงานแล้ว ยังต้องเป็นกลุ่มคนที่ชื่นชอบความมินิมัล ชื่นชอบการประกอบเฟอร์นิเจอร์ด้วยตัวเอง
ในขณะที่ราคาของสินค้าก็ยังเข้าถึงง่าย ไม่แตกต่างจากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์อื่น ๆ มากนัก
- Differentiation Focus คือ การที่แบรนด์สร้างความได้เปรียบด้านความแตกต่าง ทั้งในแง่ของคุณภาพ บริการ การออกแบบ เพื่อสร้างคุณค่าให้เหนือกว่าคู่แข่ง คล้ายกับ Differentiation
แต่ที่แตกต่างกันคือ Differentiation Focus จะเน้นลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากกว่า
ยกตัวอย่างเช่น
KARUN แบรนด์ที่เน้นชาไทยเป็นหลัก ซึ่งเป็นสูตรเฉพาะของทางร้าน
โดยเน้นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ด้วยภาพลักษณ์ ทั้งโลเคชัน การออกแบบร้าน โลโก ที่สะท้อนความพรีเมียม
โดยเน้นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด ด้วยภาพลักษณ์ ทั้งโลเคชัน การออกแบบร้าน โลโก ที่สะท้อนความพรีเมียม
FREITAG แบรนด์กระเป๋าสัญชาติสวิส ที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าสายรักษ์โลก โดยมีจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่งคือ สินค้าต่าง ๆ ทำขึ้นจากวัสดุที่ใช้งานแล้ว เช่น เข็มขัดนิรภัยรถยนต์ ผ้าใบรถบรรทุก
ทั้งหมดนี้คือ 3 กลยุทธ์พื้น ๆ ในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของคุณ Porter
อย่างไรก็ตาม หลาย ๆ แบรนด์ไม่สามารถหาข้อได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับแบรนด์ของตัวเองได้ หรือที่เรียกว่า “Stuck in the Middle”
ทั้งยังไม่สามารถลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำกว่าแบรนด์คู่แข่งได้ หรือไม่สามารถหาจุดขาย จุดแตกต่างให้กับแบรนด์ของตัวเองได้อย่างชัดเจน
จึงเป็นสาเหตุให้หลาย ๆ แบรนด์ไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันนั่นเอง..
อ้างอิง:
-https://www.indeed.com/career-advice/career-development/porters-generic-strategies
-https://pressbooks.lib.vt.edu/strategicmanagement/chapter/6-2-understanding-business-level-strategy-through-generic-strategies/
-https://medium.com/@kolbeuk/an-overview-of-porters-generic-competitive-strategies-453342d1a6ae
-https://www.ifm.eng.cam.ac.uk/research/dstools/porters-generic-competitive-strategies/
-https://www.indeed.com/career-advice/career-development/porters-generic-strategies
-https://pressbooks.lib.vt.edu/strategicmanagement/chapter/6-2-understanding-business-level-strategy-through-generic-strategies/
-https://medium.com/@kolbeuk/an-overview-of-porters-generic-competitive-strategies-453342d1a6ae
-https://www.ifm.eng.cam.ac.uk/research/dstools/porters-generic-competitive-strategies/