สรุปเฟรมเวิร์ก 6P ไว้ทำ Personalized Marketing จากเจ้าของเพจ การตลาดวันละตอน

สรุปเฟรมเวิร์ก 6P ไว้ทำ Personalized Marketing จากเจ้าของเพจ การตลาดวันละตอน

14 ก.ย. 2024
วันนี้มีการจัดงาน Digital SME Conference Thailand ซึ่งมีเซสชันที่น่าสนใจ คือ “Personalized Marketing Strategies for Businesses กลยุทธ์การทำ Personalization สำหรับธุรกิจ” ของคุณหนุ่ย ณัฐพล ม่วงทำ เจ้าของเพจการตลาดวันละตอน
Personalized Marketing คือ กลยุทธ์ทางการตลาดเฉพาะบุคคล ที่นำเทคโนโลยีหรือเครื่องมือต่าง ๆ มาวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และเก็บข้อมูลเฉพาะบุคคล เพื่อนำข้อมูลไปนำเสนอสินค้า ทำการตลาด หรือสื่อสารแบรนด์ ได้อย่างตอบโจทย์ลูกค้าเป็นรายบุคคล
หรือเรียกสั้น ๆ ว่า การตลาดแบบรู้ใจลูกค้านั่นเอง
การตลาดแบบรู้ใจเป็นที่พูดถึงมานาน
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในอดีตคือ การทำการตลาดแบบ Personalize มักจะเกิดขึ้นได้เฉพาะองค์กรใหญ่ ๆ ที่มีการเก็บข้อมูลของลูกค้าอย่างจริงจัง ว่าลูกค้าซื้อสินค้าอะไรจากแบรนด์ ซื้ออย่างไร
การที่แบรนด์จะรู้ข้อมูลในจุดนี้ได้ ก็ต้องมี Customer Data Platform (CDP) ซึ่งในอดีตมีราคาสูง
ในขณะที่ปัจจุบัน เทคโนโลยีต่าง ๆ เริ่มเข้าถึงง่ายขึ้น SME จึงเข้าถึงการทำการตลาดแบบ Personalized ได้ง่ายขึ้น
แต่ก็ไม่ใช่ว่า การตลาดแบบ Personalized เหมาะกับทุกธุรกิจ ซึ่งเราสามารถเช็กความพร้อมของเราได้ ด้วย 3 เช็กลิสต์ คือ
1.มีการเก็บ Data หรือข้อมูลของลูกค้า
2.ทำเป็น Dashboard ว่า สินค้าไหนขายดี ขายได้มากน้อยแค่ไหน
3.สร้างระบบ CRM (Customer Relationship Management) และลงทุนใน CDP (Customer Data Platform) แล้ว
หากมี 3 เช็กลิสต์เหล่านี้ หมายความว่า ธุรกิจของเรา พร้อมที่จะทำการตลาดแบบรู้ใจแล้ว
แล้วการตลาดแบบรู้ใจ ทำอย่างไร เริ่มอย่างไร ?
การทำการตลาดแบบ Personalized สามารถนำหลักการตลาดดั้งเดิมอย่าง 4P (Marketing Mix ที่ประกอบด้วย Price, Place, Product, Promotion) มาประยุกต์เป็น “6P”
โดยหลังจากเก็บข้อมูลของลูกค้าแล้ว ให้ลองแยกก่อนว่า แบรนด์และลูกค้าของเรา สามารถแยกออกได้กี่ประเภท
1. Product - มีสินค้ากี่แบบ แต่ละสินค้าทำการตลาดแบบไหนบ้าง และลูกค้าแต่ละคนชอบสินค้าอันไหนมากที่สุด
2. Price - ลูกค้าชอบซื้อของถูกสุด, ซื้อของกลาง ๆ ของดี จ่ายได้แพงขึ้น, ของพรีเมียม ของแพง
3. Place - ลูกค้าบ้านอยู่ที่ไหน อำเภอ จังหวัดอะไร, อยู่ในเมืองหรือชานเมือง หรือลูกค้าชอบซื้อสินค้าที่หน้าร้านหรือชอบออนไลน์
4. Promotion - ลูกค้าชอบส่งฟรี, ชอบส่วนลด ชอบ Bundle Pack, ชอบซื้อ 1 แถม 2, ลูกค้าชอบ influencer A หรือ B ที่ช่วยสร้างยอดขายให้แบรนด์มากกว่ากัน
เมื่อได้ข้อมูลเหล่านี้ แล้วนำข้อมูลมา Cross กันจะเห็นว่า แบรนด์ของเรา หรือสินค้าหนึ่งประเภท จะเกิดลูกค้าได้หลากหลาย Segment มาก
แต่ปัจจัยที่ทำให้ 4P กลายเป็น Personalized Marketing หรือการตลาดเฉพาะบุคคลได้คือ P ที่ 5 อย่าง “Person หรือ People”
หมายถึง การเอาลูกค้ามาเป็นแกนกลาง แล้วนำ 4P มา Connect กับลูกค้ารายบุคคล จึงออกมาเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับลูกค้าเฉพาะบุคคลนั้น ๆ นั่นเอง
ยกตัวอย่างให้ภาพ แบรนด์เครื่องสำอาง จะทำโฆษณาแบบ Personalized
Promotion ส่งฟรี
Place เฉพาะทางออนไลน์
Product เฉพาะคนซื้อลิปกลอสเท่านั้น
Price ราคาพิเศษเฉพาะ ลิปกลอสสีแดง รุ่นพรีเมียม
จาก 4P ข้างต้น จะเห็นว่า โฆษณายังไม่ Personalized
แต่เมื่อเพิ่ม P ที่ 5 คือ People = พิเศษสำหรับคุณ A เท่านั้น
จะเห็นได้ว่า เพียงแค่เพิ่ม People โฆษณาของเราก็จะกลายเป็น Personalized ทันที
นอกจากนี้ ยังมีอีก 1 P ที่สำคัญที่จะทำให้การตลาดของเรา Personalized มากขึ้น
คือ “Period” หรือช่วงเวลา
คือ การนำข้อมูลที่เดิมที่เก็บมาจากการทำธุรกิจ ที่ทำให้รู้ว่า ลูกค้าเพิ่งซื้ออะไรไป หรือซื้อในช่วงเวลาไหน จึงทำให้รู้ว่าควรทำการตลาดกับลูกค้าคนคนนี้ในช่วงเวลาไหน
เช่น ลูกค้าเพิ่งซื้อสินค้า A ไป อยากขายของชิ้นอื่นเพิ่ม ก็เพียงทำการตลาดแบบ Personalized เพิ่มว่า โปรโมชันพิเศษ สำหรับคุณ A ที่เพิ่งซื้อรองพื้นไป สามารถซื้อสกินแคร์เพิ่มได้ราคาพิเศษ
หรือรู้ว่า ลูกค้าซื้อครีมทาหน้าไปนานแล้ว และถึงเวลาที่ของใกล้หมดแล้ว ก็สามารถทำการตลาดไปหาลูกค้าคนนี้ได้ว่า ครีมทาหน้ากำลังจัดลดราคาพิเศษ เฉพาะสัปดาห์นี้เท่านั้น
จาก 6P นี้ จะเห็นได้ว่า Personalized Marketing คือ การที่เราทำการตลาดเฉพาะรายบุคคล
ซึ่งการที่แบรนด์รู้ชื่อลูกค้า รู้ว่าลูกค้าชอบสินค้าอะไร คือการนำข้อมูลเดิมที่มี มาทำให้รู้ใจลูกค้ามากขึ้น ทำให้แบรนด์ทำการตลาดไปหาลูกค้าได้แบบรู้ใจ และไม่รู้จบ..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.