ทำไม “การเลียนแบบคู่แข่ง” ถึงไม่ได้แย่เสมอไป แล้วจะเลียนแบบอย่างไร ให้มีชั้นเชิง ?
11 ธ.ค. 2023
ทุกวันนี้หลายคนอาจจะคิดว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจ
เราต้องทำอะไรที่มัน “แตกต่าง” จากคู่แข่ง
เราต้องทำอะไรที่มัน “แตกต่าง” จากคู่แข่ง
แต่การจะสร้างสรรค์สินค้าใหม่ ๆ หรือฟีเชอร์ใหม่ ๆ
ให้แตกต่างจากคู่แข่ง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
ให้แตกต่างจากคู่แข่ง ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
เพราะต้องใช้ทรัพยากร ทั้งเงินทุน ความพยายาม และระยะเวลาในการทดลองตลาด กันพอสมควร
ดังนั้นในโลกของธุรกิจ เราจึงมักจะเห็น “การเลียนแบบคู่แข่ง” หรือที่หลายแบรนด์ชอบใช้คำว่า “แรงบันดาลใจ” กันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะกับธุรกิจขนาดเล็ก ไปจนถึงแบรนด์ใหญ่ระดับโลก
ยกตัวอย่างเช่น
ครั้งหนึ่งร้านโกโก้แบบเข้มข้น กำลังได้รับความนิยมในบ้านเรา
ครั้งหนึ่งร้านโกโก้แบบเข้มข้น กำลังได้รับความนิยมในบ้านเรา
นำมาโดยร้านชื่อว่า “โกโก้ไอ้ต้น” ที่จะเป็นการชูจุดเด่นด้วย
แพ็กเกจจิงกวน ๆ (รูปใบหน้าเจ้าของแบรนด์) จนกลายเป็นกระแส
แพ็กเกจจิงกวน ๆ (รูปใบหน้าเจ้าของแบรนด์) จนกลายเป็นกระแส
ไม่นานนัก เราก็เห็นร้านโกโก้ประเภทเดียวกัน แถมชูจุดเด่นคล้ายกันโผล่ขึ้นมาเต็มไปหมด..
หรือจะเป็นกับแบรนด์ระดับโลกที่ Samsung นั้นเป็นแบรนด์แรก ๆ ที่ออกสมาร์ตโฟนแบบหน้าจอพับได้ มาตีตลาด
แต่ไม่นานนัก ก็มีแบรนด์อื่น ๆ ทำสมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้เหมือนกัน ตามมาติด ๆ
แต่ไม่นานนัก ก็มีแบรนด์อื่น ๆ ทำสมาร์ตโฟนหน้าจอพับได้เหมือนกัน ตามมาติด ๆ
เอาเข้าจริง เรื่องการเลียนแบบ หรือการนำบางอย่างของคู่แข่ง มาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเอง
ในบางตำรา ก็บอกว่านี่เป็นโมเดลธุรกิจชนิดหนึ่งได้เลย
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกเรียกว่า “Copycat Model”
ในบางตำรา ก็บอกว่านี่เป็นโมเดลธุรกิจชนิดหนึ่งได้เลย
ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกเรียกว่า “Copycat Model”
โดยโมเดลธุรกิจแบบนี้ ถ้ามองในมุมของผู้เริ่มต้นธุรกิจ มันก็เป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน
เพราะนอกจากจะประหยัดเงินทุนในการพัฒนาอะไรใหม่ ๆ แล้ว
ยังเป็นการช่วยลดเวลาในการลองผิดลองถูก และความเสี่ยงอีกด้วย
ยังเป็นการช่วยลดเวลาในการลองผิดลองถูก และความเสี่ยงอีกด้วย
ทีนี้ จะเลียนแบบทั้งที มันก็ต้องมีหลักการกันหน่อย..
โดยในบทความนี้ MarketThink จะขออาสานำทฤษฎีจาก Ivey Business School at Western University หนึ่งในมหาวิทยาลัยชื่อดังด้านการบริหารธุรกิจชั้นนำ จากแคนาดา
ซึ่งได้บอกว่า วิธีการเลียนแบบที่ดีนั้น แบ่งได้เป็น 3 ประเภท มาสรุปให้ฟัง..
ซึ่งได้บอกว่า วิธีการเลียนแบบที่ดีนั้น แบ่งได้เป็น 3 ประเภท มาสรุปให้ฟัง..
1. นำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว แต่ยังไม่มีใครทำ มาปรับใช้กับตลาดของเราเอง
เรื่องนี้พูดง่าย ๆ คือ การนำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว อาจจะเป็นจากประเทศอื่น ๆ
แต่ยังไม่มีคนทำในประเทศของเรา มาปรับให้เข้ากับบริบทของกลุ่มเป้าหมายของเราเอง
แต่ยังไม่มีคนทำในประเทศของเรา มาปรับให้เข้ากับบริบทของกลุ่มเป้าหมายของเราเอง
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ “Flipkart กับ Amazon”
ย้อนกลับไปในปี 2007 ที่ Amazon ยังไม่ได้เข้ามาทำตลาดในอินเดีย
อดีตพนักงานของ Amazon 2 คนได้เล็งเห็นว่า โมเดลธุรกิจ E-Commerce แบบ Amazon ก็น่าจะเวิร์กกับคนอินเดียด้วย
พวกเขาจึงตัดสินใจก่อตั้ง Flipkart ขึ้นในปี 2007 ด้วยโมเดลธุรกิจแบบเดียวกับ Amazon เป๊ะ ๆ
คือเริ่มจากการขายหนังสือออนไลน์ ก่อนจะขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, แฟชั่น, ของใช้ในบ้าน ไปจนถึงสินค้าไลฟ์สไตล์
แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ทั้งคู่รู้ว่า E-Commerce ยังใหม่สำหรับคนอินเดียมาก
ลูกค้าหลายคนยังไม่เชื่อมั่นว่า จ่ายเงินแล้วจะได้สินค้าจริง ๆ
ลูกค้าหลายคนยังไม่เชื่อมั่นว่า จ่ายเงินแล้วจะได้สินค้าจริง ๆ
ทำให้ Flipkart ตัดสินใจเพิ่มบริการ “ชำระเงินปลายทาง” ขึ้นมา
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ที่ทำให้ลูกค้ากล้าเข้ามาใช้บริการ และฐานลูกค้าของ Flipkart ก็ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างมาก ที่ทำให้ลูกค้ากล้าเข้ามาใช้บริการ และฐานลูกค้าของ Flipkart ก็ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
จนขึ้นแท่นเบอร์ 2 ด้าน E-Commerce ของอินเดียในปัจจุบัน
ทั้ง ๆ ที่ Flipkart แค่นำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว มาใช้เป็นเจ้าแรก ๆ ในตลาดก็เท่านั้น
ทั้ง ๆ ที่ Flipkart แค่นำโมเดลธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว มาใช้เป็นเจ้าแรก ๆ ในตลาดก็เท่านั้น
2. การเลียนแบบสินค้าหรือฟีเชอร์ ที่ทำตามได้เร็วและง่าย
การเลียนแบบรูปแบบนี้ คือนำสินค้าหรือฟีเชอร์ ที่ประสบความสำเร็จของคู่แข่งในตลาด มาทำเป็นของตัวเองบ้าง โดยเน้นไปที่ความเร็ว และไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรเยอะ
ซึ่งเรื่องนี้จะคล้ายกับกรณีของ ร้านหม่าล่าสายพาน ในบ้านเรา
ที่หลายร้านมีโมเดลธุรกิจคล้ายกันคือ ขายน้ำจิ้ม น้ำซุปแยกกัน และบริการอาหารผ่านสายพาน
ที่หลายร้านมีโมเดลธุรกิจคล้ายกันคือ ขายน้ำจิ้ม น้ำซุปแยกกัน และบริการอาหารผ่านสายพาน
โดยร้านพวกนี้มีต้นทุนในการเปิดร้านไม่สูงมาก แถมคนไทยหลายคน ก็ชอบกินหม่าล่า
ทำให้บรรดาผู้ประกอบการ เมื่อรู้ว่าลงทุนเปิดร้านไป อย่างไรก็มีลูกค้า
จึงทำตามกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจอะไรจากต้นฉบับเยอะ
เพื่อที่จะได้รีบให้บริการ และแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาให้ได้มากที่สุด
จึงทำตามกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจอะไรจากต้นฉบับเยอะ
เพื่อที่จะได้รีบให้บริการ และแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดมาให้ได้มากที่สุด
เอาเข้าจริงท่าแบบนี้ ก็เป็นท่าที่หลายแบรนด์ใช้กันบ่อย
โดยเฉพาะเรื่องของการ “ออกโปรโมชัน”
โดยเฉพาะเรื่องของการ “ออกโปรโมชัน”
ที่ชัดเจนเลยก็คือ ในอุตสาหกรรม E-Commerce ที่ผู้ให้บริการหลายเจ้า
มักจะเลียนแบบโปรโมชันที่ประสบความสำเร็จของคู่แข่งอยู่เสมอ
มักจะเลียนแบบโปรโมชันที่ประสบความสำเร็จของคู่แข่งอยู่เสมอ
เช่น การทำโปร 11.11 หรือจะเป็น Flash Sale ที่ปัจจุบันก็มีกันแทบทุกเจ้า จนเป็นเรื่องปกติไปแล้ว..
3. เลียนแบบคู่แข่ง แต่เสริมจุดเด่นของตัวเองลงไป
การเลียนแบบรูปแบบนี้ มักเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมที่ค่อนข้างได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค ในระดับหนึ่งแล้ว
โดยการทำแบบนี้ ก็คือการนำสินค้าหรือฟีเชอร์ที่ประสบความสำเร็จของคู่แข่งมาใช้ แต่จะมีการเพิ่มจุดเด่นของตัวเองเข้าไปให้เหนือกว่า
พูดง่าย ๆ คือ การทำ Copy & Develop
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ “Oreo กับ Hydrox”
ที่ครั้งหนึ่ง Hydrox เป็นเจ้าแรกที่คิดค้นคุกกี้สีดำ และสอดไส้ครีมสีขาวตรงกลาง
ก่อนจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าในระดับหนึ่ง
ก่อนจะได้รับการยอมรับจากลูกค้าในระดับหนึ่ง
ซึ่ง Oreo ที่มาทีหลัง ก็เสนอสินค้าที่คล้ายกัน ต่างกันตรงที่ Oreo จะมีการสร้างสรรค์สินค้าใหม่ ๆ
จนออกมาเป็นไส้คุกกี้แปลก ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น รสเนยถั่ว, รสเลมอน หรือแม้แต่รสแตงโม
จนออกมาเป็นไส้คุกกี้แปลก ๆ อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็น รสเนยถั่ว, รสเลมอน หรือแม้แต่รสแตงโม
นอกจากนี้ Oreo ยังสร้างความแตกต่างด้วยแคมเปญการตลาดมากมาย
อย่างที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ สโลแกน “บิด ชิมครีม จุ่มนม” อันเป็นตำนาน
อย่างที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ สโลแกน “บิด ชิมครีม จุ่มนม” อันเป็นตำนาน
จากที่ว่ามา ทำให้เห็นว่าแม้ Oreo จะมี Hydrox เป็นแรงบันดาลใจ ในการออกสินค้าช่วงแรก ๆ
แต่ด้วยการเสริมจุดเด่นบางอย่างให้แตกต่างจากคู่แข่ง
ก็ทำให้ Oreo กลายเป็นผู้นำตลาด แถมชื่อแบรนด์ยังได้เป็น Generic Name ของคุกกี้ประเภทเดียวกันมาจนถึงทุกวันนี้..
ก็ทำให้ Oreo กลายเป็นผู้นำตลาด แถมชื่อแบรนด์ยังได้เป็น Generic Name ของคุกกี้ประเภทเดียวกันมาจนถึงทุกวันนี้..
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนน่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า
การพยายามเป็นผู้ริเริ่มตลาด หรือทำอะไรใหม่ ๆ
อาจไม่ใช่ทางเดียว ในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ก็ได้..
อาจไม่ใช่ทางเดียว ในการประสบความสำเร็จทางธุรกิจ ก็ได้..
เพราะก็บ่อยครั้งที่ “ผู้ตาม” สามารถพลิกกลับมาเป็น “ผู้นำ”
ด้วยการนำเสนอสิ่งที่ดีกว่า ตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่า
แม้จะไม่ใช่คนที่คิดค้นสิ่งใหม่เป็นเจ้าแรกก็ตาม
ด้วยการนำเสนอสิ่งที่ดีกว่า ตอบโจทย์ลูกค้ามากกว่า
แม้จะไม่ใช่คนที่คิดค้นสิ่งใหม่เป็นเจ้าแรกก็ตาม
เหมือนอย่างที่ Apple ก็ไม่ใช่เจ้าแรก ที่คิดค้นสมาร์ตโฟน
แต่ปัจจุบัน iPhone กลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
แต่ปัจจุบัน iPhone กลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก
หรือจะเป็น BYD ก็ไม่ใช่บริษัทแรกที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าขาย
แต่ปัจจุบัน กลับก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลก ได้เช่นกัน
แต่ปัจจุบัน กลับก้าวขึ้นมาเป็นผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเบอร์ 1 ของโลก ได้เช่นกัน
—-----------------------------
อ้างอิง :
- https://www.businessoutreach.in/copycat-entrepreneurs/
- https://review.mastersunion.org/copycat-brands-and-how.../
อ้างอิง :
- https://www.businessoutreach.in/copycat-entrepreneurs/
- https://review.mastersunion.org/copycat-brands-and-how.../