เจาะลึก LEAD หลักสูตรปั้น SMEs ดาวรุ่งรุ่นใหม่ ที่เน้น "เรียนจริง ทำจริง โตจริง" จากเซ็นทรัลพัฒนา
28 ก.พ. 2023
หากคุณเป็น SMEs ไม่ว่าจะแบรนด์ใหญ่หรือแบรนด์เล็ก ที่กำลังมองหา “โอกาส” ในการขยับขยายธุรกิจ (Scale Up) ให้เติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว
หลักสูตร LEAD ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ครบถ้วน ทุกมิติที่สุด
หลักสูตร LEAD ก็น่าจะตอบโจทย์ได้ครบถ้วน ทุกมิติที่สุด
เพราะคอร์ส LEAD (Leading Entrepreneur Advanced Development) โดยเซ็นทรัลพัฒนา
คือหลักสูตรรีเทล ที่พัฒนาให้ผู้ประกอบการเติบโต แตกต่าง และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
คือหลักสูตรรีเทล ที่พัฒนาให้ผู้ประกอบการเติบโต แตกต่าง และประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน
อีกทั้งยังเน้นให้ผู้เรียน ได้สร้างประสบการณ์แบบ “เรียนจริง ทำจริง โตจริง” ผ่านการเรียนรู้จากผู้รู้จริงในวงการรีเทล ได้ทดลองตลาดบนพื้นที่ที่มีศักยภาพของเครือเซ็นทรัล และนำสิ่งที่ได้ มาพัฒนาและประยุกต์ใช้กับธุรกิจจริง
โดยตัวชี้วัดความสำเร็จ ของคอร์ส LEAD ตั้งแต่รุ่น 1-4 คือ การปั้น SMEs ไปแล้วทั้งหมด 150 แบรนด์
มีการขยายหน้าร้านรวม 600 ร้านค้า คิดเป็นมูลค่าการเติบโตของธุรกิจมากกว่า 1,800 ล้านบาท
บนพื้นที่รวมมากกว่า 30,000 ตารางเมตร ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ
มีการขยายหน้าร้านรวม 600 ร้านค้า คิดเป็นมูลค่าการเติบโตของธุรกิจมากกว่า 1,800 ล้านบาท
บนพื้นที่รวมมากกว่า 30,000 ตารางเมตร ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลทั่วประเทศ
ยกตัวอย่างแบรนด์ ที่ประสบความสำเร็จจากคอร์ส LEAD เช่น
- Gentlewoman ร้านเสื้อผ้าแฟชั่นแบรนด์ไทย ที่เติบโตมาจาก CAMP Fashion Multi brand store
- Fresh Me แบรนด์ชาแบรนด์โปรดของใครหลายคน ที่ขยายไปมากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ
- Ravipa แบรนด์จิวเวลรีชื่อดัง ที่ได้เปิด Flagship Store ที่ centralwOrld เป็นที่แรก
- Moshi Moshi ที่ขยายสาขาไปทั่วประเทศ และเพิ่งเข้าตลาดหุ้นไทยไปเมื่อไม่นานมานี้
รวมถึง Salad Factory และ Beautrium ที่ เซ็นทรัล กรุ๊ป เข้าไปร่วมลงทุนด้วย
- Fresh Me แบรนด์ชาแบรนด์โปรดของใครหลายคน ที่ขยายไปมากกว่า 100 สาขาทั่วประเทศ
- Ravipa แบรนด์จิวเวลรีชื่อดัง ที่ได้เปิด Flagship Store ที่ centralwOrld เป็นที่แรก
- Moshi Moshi ที่ขยายสาขาไปทั่วประเทศ และเพิ่งเข้าตลาดหุ้นไทยไปเมื่อไม่นานมานี้
รวมถึง Salad Factory และ Beautrium ที่ เซ็นทรัล กรุ๊ป เข้าไปร่วมลงทุนด้วย
ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวถึงเหตุผลในการริเริ่มหลักสูตร LEAD ว่า
หลักสูตร LEAD เกิดขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2017 โดยเป็นโปรแกรมการเรียนรู้ที่เราคิดขึ้น เพื่อตอบโจทย์ผู้ประกอบการรุ่นใหม่
เนื่องจากศูนย์การค้ามีการขยายตัวเพิ่มขึ้น เลยมีความจำเป็นที่จะต้องนำผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ให้เข้ามาอยู่ใน Ecosystem platform ของเรา
ในฐานะ “Retail platform as a Central Group” ที่สามารถช่วยพัฒนาธุรกิจให้กับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ไฟแรงได้
เรามีแผนที่ชัดเจน ในการวางให้ 10% ของพื้นที่ในแต่ละศูนย์การค้าของเครือเซ็นทรัล เป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ได้เข้ามาค้าขาย ได้ลงสนามจริง และเติบโตไปพร้อม ๆ กับเรา
เราวางตัวเองเป็น Incubator ตั้งแต่ปีแรกที่ได้รับโจทย์มา โดยต้องการสร้างหลักสูตร “บ่มเพาะ” ธุรกิจ ที่ให้คำปรึกษาและคำแนะนำแก่ SMEs ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น ไปจนถึงวันที่ธุรกิจของพวกเขาแข็งแรง และเติบโตไปเรื่อย ๆ
ซึ่งการจะทำให้ SMEs แข็งแรงขึ้นได้นั้น จะต้องมีสถาบันการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาเป็นกำลังหลักในการผลักดัน
ซึ่งการจะทำให้ SMEs แข็งแรงขึ้นได้นั้น จะต้องมีสถาบันการศึกษา และผู้เชี่ยวชาญ เข้ามาเป็นกำลังหลักในการผลักดัน
มีทั้งผู้บริหารจาก เซ็นทรัลกรุ๊ป ซึ่งเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ และศูนย์การเรียนรู้ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่เป็นการนำเอาหลักวิชาการเข้ามาประยุกต์ และทำคลาสที่ทำให้นักเรียน สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ หรือร่วมมือกันได้
เพราะฉะนั้น คอร์สนี้จะต่างจากที่อื่น ตรงที่ เน้นเรียนจริง ทำจริง ลงพื้นที่จริง แล้วออกมาเปิดร้านจริงกับเรา โดยนักเรียนทุกคนจะได้เรียนกับอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญของเซ็นทรัลกรุ๊ปทั้งหมด
ซึ่งวิธีการเลือกนักเรียนของเรา จะเลือกจากนักเรียนที่มีพื้นฐานในการทำธุรกิจมาพอสมควร เพื่อที่เคมีของนักเรียนในคลาสทั้งหมด จะได้มีความกลมกล่อม และแลกเปลี่ยนองค์ความรู้กันได้
เช่น บางคนเก่งเรื่องบัญชี บางคนเก่งเรื่องการวางระบบ บางคนเก่งเรื่องสต็อก บางคนเก่งเรื่องการตกแต่งร้าน (Display) พอมาอยู่ในคลาสที่เน้นในเรื่องของรีเทล ก็สามารถแลกเปลี่ยนความรู้ และต่อยอดความคิดกันได้
ผศ.ปิติพีร์ รวมเมฆ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เอมบิชั่น คอร์ป จำกัด ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ นวัตกรรมและการตลาด กล่าวเพิ่มเติมว่า
ส่วนตัวมองว่า เซ็นทรัลพัฒนา เป็นเหมือนผู้ใหญ่ใจดี ที่ให้โอกาสผู้ประกอบการได้เติบโต
หน้าที่ของเรา คือการทำให้นักเรียนมีความพร้อมและมีศักยภาพ ด้วยการดึงความเก่งของแต่ละคนออกมาพัฒนาต่อ เพื่อที่จะเติบโตไปกับเราได้จริง ๆ ด้วยโมเดลธุรกิจแบบใหม่ ๆ (New business model)
เช่น หลายแบรนด์จากเดิมที่ขายแค่ในออนไลน์ ทำให้มองไม่เห็นภาพการขายบนออฟไลน์แบบมีหน้าร้าน แต่พอมาเรียนกับ LEAD ทำให้เห็นโอกาสเติบโตในหลายรูปแบบ
ทั้งการทำ New Branding, New Product, New Target Group และการขยายหน้าร้านในหลายรูปแบบ ทั้ง Flagship Store, Pop-Up, Kiosk เป็นต้น
ความท้าทายคือ การดิไซน์คอร์สเริ่มตั้งแต่รุ่นที่ 1 ถึงรุ่นที่ 4 ที่จะพัฒนาให้ก้าวทันโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น โจทย์ในแต่ละปีก็จะเน้นไม่เหมือนกัน เราก็จะจับเทรนด์ว่า ในแต่ละปีมีเรื่องไหนที่น่าสนใจ แล้วเราก็ปรับคอร์ส และเลือกคนมาสอนให้ตรงตามเทรนด์ของปีนั้น ๆ
หลักสูตร LEAD เน้นให้นักเรียนได้ลองทำจริง
อย่างการให้พื้นที่นักเรียน ได้ลงไปทำ Pop-Up Store ของตัวเองจริง ๆ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล พระราม 2
อย่างการให้พื้นที่นักเรียน ได้ลงไปทำ Pop-Up Store ของตัวเองจริง ๆ ที่เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล พระราม 2
นอกจากนั้น ยังออกแบบการเรียนที่กระตุ้นให้มีการ Synergy ระหว่างกัน
เช่น คอลแลบกับแบรนด์ ที่ให้แต่ละแบรนด์ในคลาส มาคิดสร้างคอนเซปต์ใหม่ ๆ ร่วมกัน
เช่น คอลแลบกับแบรนด์ ที่ให้แต่ละแบรนด์ในคลาส มาคิดสร้างคอนเซปต์ใหม่ ๆ ร่วมกัน
ข้อดีคือ ได้เรียนรู้จากมุมมองของเพื่อน ๆ ในคลาสเดียวกัน เพราะแต่ละคนก็จะมีความเก่งในมุมที่แตกต่างกัน การเข้าร่วมหลักสูตร LEAD โดยเซ็นทรัลพัฒนา จึงเป็นเหมือนทางลัด ที่ทำให้พวกเขาได้มีมุมมองกว้างขึ้น ในโลกของการทำธุรกิจ
และด้วยความที่เรา มีพื้นที่ศูนย์การค้าอยู่ทั่วประเทศอยู่แล้ว เราจึงเป็นเหมือนสะพาน ที่ช่วยเชื่อมโยงสินค้าของพวกเขา ให้มาพบเจอกับลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้อีกด้วย
โดย 5 แบรนด์ยอดเยี่ยม ในหลักสูตร LEAD รุ่น 4 ประกอบไปด้วย
1) แบรนด์ “ซาลาเปาโกอ้วน”
เริ่มต้นจากหาดใหญ่ ทำมานานกว่า 40 ปี โดยเมนูซิกเนเชอร์ของทางร้าน คือ ซาลาเปาทอด
พอทำธุรกิจมาถึงจุดหนึ่ง ก็อยากให้คนกรุงเทพฯ ได้ลองทานของท้องถิ่น
หลังจากโควิดเริ่มซาลง จึงเริ่มขยายธุรกิจเข้ามาในกรุงเทพฯ
โดยปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 22 สาขา ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง
โดยปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 22 สาขา ในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง
คุณสุรีย์พร พูนศักดิ์ไพศาล Managing Director บริษัท โกอ้วน ซาลาเปา แอนด์ ที จำกัด และ บริษัท ชงดีพูนผล จำกัด กล่าวถึงสิ่งที่ได้จาก LEAD รุ่น 4 ว่า
หลังจากเรียน เราได้เทสแบรนด์ใหม่ นั่นก็คือ “โรงชาชงดี” และคอลแลบกับเพื่อนใน LEAD รุ่นเดียวกัน อย่างแบรนด์ Codesom
Key learning ที่ได้คือ การคอลแลบกับแบรนด์อื่น ช่วยเพิ่มความหลากหลาย และความน่าสนใจให้กับสินค้าได้ และการแตกแบรนด์ใหม่ มันไม่จำเป็นที่จะต้องขายในพื้นที่เดียวกันก็ได้
โดยทิศทางของ “โรงชาชงดี” จะสร้างแบรนด์ให้แข็งแรงก่อน จากรสชาติ และคุณภาพ
ถ้าเซตระบบดีแล้ว โรงชาชงดี ก็จะขายแฟรนไชส์ เหมือนซาลาเปาโกอ้วน โดยเป้าหมายของโรงชาชงดีปีนี้ จะขยาย 5 สาขาด้วยกัน
ถ้าเซตระบบดีแล้ว โรงชาชงดี ก็จะขายแฟรนไชส์ เหมือนซาลาเปาโกอ้วน โดยเป้าหมายของโรงชาชงดีปีนี้ จะขยาย 5 สาขาด้วยกัน
โดยปกติแล้ว ซาลาเปาโกอ้วน จะขยายจนครบ 10 สาขาก่อน ถึงจะแตกไลน์แฟรนไชส์ เพราะต้องให้มั่นใจก่อน ว่ารสชาติและคุณภาพได้มาตรฐานเท่ากันทั้งหมด
สิ่งที่เราได้เรียนรู้ มันช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เรากล้าคิด และกล้าทำมากขึ้น
และข้อดีอีกอย่าง คือ ทาง LEAD ให้โอกาสเราได้ลองเปิดร้านจริงใน Pop-Up Store เพื่อลองขายจริงที่ เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล พระราม 2
และข้อดีอีกอย่าง คือ ทาง LEAD ให้โอกาสเราได้ลองเปิดร้านจริงใน Pop-Up Store เพื่อลองขายจริงที่ เซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัล พระราม 2
ซึ่งทำให้เราได้คำตอบหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ และการลองผิดลองถูก ที่สามารถนำไปปรับใช้กับแบรนด์ใหม่ต่อไปได้
ถ้าถามว่าแบรนด์ของเรา แตกต่างจากแบรนด์ซาลาเปาอื่นอย่างไร ?
จุดเด่นของเราจะเน้นความเป็นท้องถิ่น (Local) เป็นซาลาเปาดั้งเดิมที่มาจากหาดใหญ่ และใช้ความเป็นต้นตำรับ (Authentic) ในการสร้างแบรนด์ รวมถึงความเป็นตัวจริงในเรื่องซาลาเปาทอด ที่ให้ความสำคัญกับรสชาติ และคุณภาพ
2) แบรนด์ “Tempered”
ร้านคาเฟช็อกโกแลตสเปเชียลตี ที่ได้แรงบันดาลใจ จากการไปเห็นคาเฟที่ญี่ปุ่น แล้วอยากทำแบรนด์ช็อกโกแลตของตัวเอง จึงกลับมาหาเมล็ดโกโก้ จากเกษตรกรไทย ที่จังหวัดจันทบุรี และเชียงใหม่
ทำให้จุดเด่นของแบรนด์ Tempered คือการใช้เมล็ดโกโก้ จากเกษตรกรไทย 100%
ทำให้จุดเด่นของแบรนด์ Tempered คือการใช้เมล็ดโกโก้ จากเกษตรกรไทย 100%
คุณชนิกานต์ ตันบุญเพิ่ม Exclusive Chef and Co-Founder, Tempered Cooperatives กล่าวถึงสิ่งที่ได้จาก LEAD รุ่น 4 ว่า
หลังจากเรียน ทำให้เรากลับมาพัฒนาตัวเองในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การจัดหน้าร้าน (Display) ที่ CPN ช่วยเราปรับทุกวัน จนได้ไปตั้ง Pop-Up ที่เซ็นทรัล พระราม 2, วิธีเจาะตลาดลูกค้าคนไทย
รวมถึงโปรดักต์ ที่ต้องมีความหลากหลาย ทั้ง ขนมอบ เครื่องดื่ม และของคาว
รวมถึงโปรดักต์ ที่ต้องมีความหลากหลาย ทั้ง ขนมอบ เครื่องดื่ม และของคาว
ส่วนการออกโปรดักต์ เราตั้งใจออกทุก ๆ 3 เดือน ครอบคลุมลูกค้าที่เป็น Chocolate Lover ทุกกลุ่ม รวมถึงคนที่เป็นเบาหวาน ก็ทานได้ เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล
ซึ่งเหตุผลที่ออกโปรดักต์ถี่ ก็เพื่อจะดูกลุ่มลูกค้าและผลตอบรับที่ได้ เพื่อนำกลับมาพัฒนา และปรับปรุงตัวเองต่อไป
ความท้าทายจริง ๆ แล้ว คือ การจัดหาวัตถุดิบ เพราะพื้นฐานของวัตถุดิบจะต่างกัน แม้จะมาจากพื้นที่เดิมก็ตาม โดยในแต่ละรอบ เราจะต้องเทสเมล็ดโกโก้ทุกรอบ และใช้ระยะเวลาในการคั่วที่ต่างกัน
ในด้านการเติบโตที่วางไว้ คือ จะขยายสาขาเพิ่ม เข้าห้างฯ มากขึ้น รวมถึงคอลแลบกับแบรนด์ของเพื่อน ๆ ในรุ่น และในโครงการ
โดยส่วนตัวมองว่า จะขยายสาขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะถ้าโตเร็วเกินไป การควบคุมคุณภาพ ก็จะยาก
ในตอนเริ่ม เรามีสาขาแรกเป็น Stand Alone แล้วจึงตัดสินใจเข้ามาเรียนในคอร์ส LEAD เพื่อ Scale Up ธุรกิจ
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ เห็นได้ชัดจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากเดิม ประมาณ 20-30% ต่อเดือน
3) แบรนด์ “Nineties Design”
ได้แรงบันดาลใจจากแฟชั่นในยุค 90 จึงเกิดแนวคิดว่า เราอยากเป็นแบรนด์คนไทยที่ผลิตเสื้อยืดมีคุณภาพสูงในระดับสากล ใช้ผ้าที่ดี ใส่ได้ง่าย และดึงเอาตัวตนที่น่ารักสดใสของผู้ใส่ออกมา
คุณกัญญาณัฐ ปิยะชัยวุฒิ Managing Director & Co-Founder และคุณสุพพัต ปิยะชัยวุฒิ Co-Founder บริษัท อินสไปเรชั่น ดิไซน์ จำกัด กล่าวถึงสิ่งที่ได้จาก LEAD รุ่น 4 ว่า
พื้นฐานของเราเริ่มมาจากการขายออนไลน์ โดยจุดแข็ง คือ มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง และคุมช่างเองทั้งหมด
หลังจากเรียนจบหลักสูตร LEAD รุ่น 4 ทำให้เราแตกไลน์แบรนด์ใหม่ได้เลย
ในตอนแรก เรามีแค่ 1 แบรนด์ และเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่หลังจากเรียนเราจบ แตกแบรนด์เพิ่มอีก 3 แบรนด์
ในตอนแรก เรามีแค่ 1 แบรนด์ และเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) แต่หลังจากเรียนเราจบ แตกแบรนด์เพิ่มอีก 3 แบรนด์
และทำให้เราเข้าใจ โอกาสของแต่ละกลุ่มเป้าหมาย (Target Opportunity) มากขึ้น เพราะแต่ละศูนย์การค้าของเซ็นทรัล พัฒนา เข้าใจพฤติกรรม และความชอบ ของแต่ละฐานลูกค้าเป็นอย่างดี
โดยกลุ่มเป้าหมายของเรา จะจับตั้งแต่กลุ่มเด็ก ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
โดยกลุ่มเป้าหมายของเรา จะจับตั้งแต่กลุ่มเด็ก ไปจนถึงวัยผู้ใหญ่
ส่วนในด้านการสเกลธุรกิจ ก่อนเข้ามาเรียนมี 20 สาขา ปัจจุบันมีสาขารวมทั้งหมด 60 สาขาด้วยกัน
4) แบรนด์ “Moreover”
แบรนด์ของใช้และของตกแต่งบ้าน ที่ Creative และ Minimal เหมาะกับบ้านทุกสไตล์
โดยใช้ “ความเชื่อ” เข้ามาผสมกับงานดิไซน์ เช่น หิ้งพระมินิมัล
โดยใช้ “ความเชื่อ” เข้ามาผสมกับงานดิไซน์ เช่น หิ้งพระมินิมัล
คุณนวัต ศักดิ์ศิริศิลป์ Founder & Design director บริษัท เข้ากันดี จำกัด กล่าวถึงสิ่งที่ได้จาก LEAD รุ่น 4 ว่า
จริง ๆ แล้ว พื้นฐานของเรามาจากดิไซเนอร์ ดังนั้น จุดแข็งก็คืองานดิไซน์ และการออกแบบ โดยผลงานที่ผ่านมา เคยไปจับมือกับ Hafele และเคยทำน้ำหอมให้ THE STANDARD
สิ่งที่มองว่าตัวเองยังขาด คือความสดใหม่ของแบรนด์ หลังจากเรียน ทำให้ได้เปิด Flagship Store
เป็นการรวมแบรนด์ที่เคยไปออกแบบให้คนอื่น นำมาจัดแสดงและวางขายอีกครั้ง
ซึ่งถือว่าเซ็นทรัล พัฒนา ช่วยนำทางให้เรา ได้ค้นพบกับ New Business Model นี้
เป็นการรวมแบรนด์ที่เคยไปออกแบบให้คนอื่น นำมาจัดแสดงและวางขายอีกครั้ง
ซึ่งถือว่าเซ็นทรัล พัฒนา ช่วยนำทางให้เรา ได้ค้นพบกับ New Business Model นี้
และได้มีการพัฒนาระบบการจัดการสต็อก และการขายที่ดีขึ้น ทำให้สามารถขยายช่องทางจำหน่าย ได้มากขึ้น 20-30 จุด (2 เท่า ภายใน 3 เดือน)
5) แบรนด์ “Amatas”
เริ่มจากการเป็นโรงงานพลาสติก (OEM) ก่อตั้งในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง โดยรับผลิตให้กับ Unilever และ P&G หลังจากนั้น ได้รับผลิตให้กับแบรนด์ญี่ปุ่น
เราค้นพบว่า Pain point ของโรงงานผลิต OEM ส่วนใหญ่ คือ หลังจากทำธุรกิจไปเรื่อย ๆ ก็จะอยากทำแบรนด์ของตัวเอง นี่จึงเป็นที่มาของ แบรนด์ “Super lock” แบรนด์กล่องเก็บอาหาร แบรนด์แรกของบริษัท
หลังจากนั้น ได้มีการร่วมงานกับพาร์ตเนอร์ต่างชาติ เริ่มจากการ Collaboration Project ระหว่างบริษัท Micron Group บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องครัวชั้นนำ และ Jacob Jensen Design บริษัทงานดิไซน์ระดับโลกจากเดนมาร์ก
และเริ่มหันมาโฟกัสแบรนด์ตัวเองมากขึ้น โดยไม่ได้มองว่าตัวเอง เป็นแค่โรงงานพลาสติกอีกต่อไป
คุณพลาวุฒิ เจริญจิตมั่น Managing Director, Micron Group กล่าวถึงสิ่งที่ได้จาก LEAD รุ่น 4 ว่า
ในตอนแรกเรามองตัวเองแคบ ๆ ว่า ทำแค่สินค้าของแบรนด์ตัวเองก็พอ แต่พอมาเรียน ทำให้ได้แนวคิดในการสร้างโมเดลธุรกิจแบบใหม่ นั่นคือ Multi-brands kitchenware store ทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
รวมถึง ทำให้เรารู้ว่า สิ่งที่ยังขาด คือเรื่องของการขายผ่านช่องทางรีเทล
ถึงแม้เราจะเก่งในเรื่องการผลิต แต่พอมาขายที่ศูนย์การค้าของเซ็นทรัล เราต้องมาขายเอง ดูแลเองทั้งหมด
จึงเป็นโจทย์ ที่ทำให้เราตัดสินใจมาเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ
ถึงแม้เราจะเก่งในเรื่องการผลิต แต่พอมาขายที่ศูนย์การค้าของเซ็นทรัล เราต้องมาขายเอง ดูแลเองทั้งหมด
จึงเป็นโจทย์ ที่ทำให้เราตัดสินใจมาเรียนกับผู้เชี่ยวชาญ
ส่วนเหตุผลที่แตกแบรนด์เป็น AMATAS (รากศัพท์มาจาก คำว่า อมตะ) ก็เพราะถ้าเป็นแบรนด์ Super lock ภาพจำจะถูกจำกัด เพราะคนจดจำแบรนด์ว่า เด่นในเรื่องกล่องอาหาร
ในส่วนของแผนการเติบโต ต้องการขยายสาขาให้มากขึ้น จากเดิมที่ AMATAS มีสาขาของตัวเอง 10 สาขา
การมีช่องทางที่ครบ ทั้งช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ และช่องทางรีเทล จะทำให้แบรนด์ต่างชาติ ที่เรากำลังจะเข้าไปทาบทามอย่าง อิตาลี เชื่อมั่นและอยากมาร่วมงานกับเรา
สิ่งที่เป็น Key Learning จากการทำหลักสูตร LEAD ก็คือ หลาย ๆ ครั้ง แบรนด์ที่เข้ามา มักจะมองโปรดักต์และแบรนด์ของตัวเองเป็นที่ตั้ง แต่สิ่งที่เราทำ คือเอา “ลูกค้า” เป็นที่ตั้ง
จุดแข็งของเรา ก็คือการมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย รวมถึงเป็นกลุ่มลูกค้า เซ็นทรัลพัฒนา รู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ดังนั้น หลักสูตร LEAD จึงเป็นเหมือน Gateway to Success ที่ช่วยปั้น SMEs ดาวรุ่งรุ่นใหม่ ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ไปพร้อม ๆ กับเซ็นทรัลพัฒนา นั่นเอง..
หากผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะแบรนด์ใหญ่ หรือแบรนด์เล็ก ที่สนใจเข้าร่วมหลักสูตร LEAD สามารถสมัครเพื่อเข้าร่วมได้ที่ https://shoppingcenter.centralpattana.co.th/lead/