กรณีศึกษา “ส้มตำนัว” ร้านอาหารอีสานที่แซ่บนัว จน “กลุ่มเซ็นทรัล” ยังอยากเป็นเจ้าของ
5 เม.ย. 2021
ต่อให้โลกนี้จะมีเมนูอาหารใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมาย
แต่รสชาติแซ่บนัวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ “ส้มตำ” เป็นเมนูขวัญใจมหาชนตลอดกาล
นี่จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ “ร้านส้มตำ” ในบ้านเรา ได้รับความนิยม ไม่เคยเสื่อมคลาย
แต่รสชาติแซ่บนัวที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ “ส้มตำ” เป็นเมนูขวัญใจมหาชนตลอดกาล
นี่จึงอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ “ร้านส้มตำ” ในบ้านเรา ได้รับความนิยม ไม่เคยเสื่อมคลาย
และแน่นอนว่า ถ้าพูดถึงหนึ่งในร้านอาหารอีสาน ที่คนไทยคุ้นหูเป็นอย่างดี ต้องมีชื่อของ “ส้มตำนัว”
ร้านอาหารอีสานที่ปลุกปั้นโดยหนุ่มนักโฆษณาสายเลือดอีสาน ที่อยากสืบทอดวัฒนธรรมการกินของบ้านเกิด
จึงเปิดร้านอาหารอีสานที่ชูคอนเซปต์ การนำเสนออาหารอีสานด้วยรสชาติตามแบบฉบับดั้งเดิม
ร้านอาหารอีสานที่ปลุกปั้นโดยหนุ่มนักโฆษณาสายเลือดอีสาน ที่อยากสืบทอดวัฒนธรรมการกินของบ้านเกิด
จึงเปิดร้านอาหารอีสานที่ชูคอนเซปต์ การนำเสนออาหารอีสานด้วยรสชาติตามแบบฉบับดั้งเดิม
ใครจะไปคิดว่า จากจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่ทำเพราะใจรัก
นอกจากจะสามารถแจ้งเกิดในหมู่คนรักส้มตำได้อย่างรวดเร็ว และครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน
นอกจากจะสามารถแจ้งเกิดในหมู่คนรักส้มตำได้อย่างรวดเร็ว และครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน
ล่าสุดยังไปเข้าตากลุ่มเซ็นทรัล เรสตอรองส์ หรือ CRG เจ้าของเชนร้านอาหารและของหวานที่หลายคนคุ้นเคย อย่าง KFC, Mister Donut, Cold Stone Creamery, Chabuton, Pepper Lunch, The Terrace, Yoshinoya และอีกมากมาย
จนตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น 85% ของส้มตำนัว คิดเป็นมูลค่าราว 200 ล้านบาท เพื่อหวังให้เสริมแกร่งธุรกิจอาหาร
จนตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น 85% ของส้มตำนัว คิดเป็นมูลค่าราว 200 ล้านบาท เพื่อหวังให้เสริมแกร่งธุรกิจอาหาร
แล้วส้มตำนัว มีความน่าสนใจอย่างไร
ทำไมถึงยืนหยัดในสมรภูมิร้านอาหาร มาได้อย่างยาวนาน
เพราะต่อให้นับแค่ร้านอาหารอีสาน ก็มีคู่แข่งนับไม่ถ้วนแล้ว
ทำไมถึงยืนหยัดในสมรภูมิร้านอาหาร มาได้อย่างยาวนาน
เพราะต่อให้นับแค่ร้านอาหารอีสาน ก็มีคู่แข่งนับไม่ถ้วนแล้ว
ถ้าพร้อมแล้ว ขอชวนทุกคนขึ้นไทม์แมชชีน ย้อนกลับไปเมื่อ 18 ปีก่อน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของส้มตำนัว..
หนึ่งในผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ “ส้มตำนัว” คือ คุณดี้-สุธาชล วัฒนะสิมากร
หนุ่มอุดรธานี ที่เข้ามาตามหาความฝันในกรุงเทพฯ เริ่มต้นจากการทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณา
ก่อนจะลงขันกับหุ้นส่วนชาวกาฬสินธุ์ ปลุกปั้นแบรนด์ส้มตำนัว
ประเดิมเปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ ในปี พ.ศ. 2546
หนุ่มอุดรธานี ที่เข้ามาตามหาความฝันในกรุงเทพฯ เริ่มต้นจากการทำงานในบริษัทเอเจนซี่โฆษณา
ก่อนจะลงขันกับหุ้นส่วนชาวกาฬสินธุ์ ปลุกปั้นแบรนด์ส้มตำนัว
ประเดิมเปิดสาขาแรกที่สยามสแควร์ ในปี พ.ศ. 2546
แรงบันดาลใจที่ทำให้คุณดี้ อยากเปิดร้านอาหาร มาจากความอัดอั้นที่ไม่สามารถหาส้มตำ ที่มีรสชาติแบบต้นตำรับอีสาน ในกรุงเทพฯ ได้
หรือต่อให้มี ถ้าย้อนไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว ส้มตำที่คนไทยคุ้นเคย ก็ยังเป็นส้มตำรถเข็น หรือ แผงลอย
ซึ่งหลายคนอาจจะกังวลเรื่องความสะอาด และมองว่าไม่ถูกหลักอนามัยเท่าที่ควร
หรือต่อให้มี ถ้าย้อนไปเกือบ 20 ปีที่แล้ว ส้มตำที่คนไทยคุ้นเคย ก็ยังเป็นส้มตำรถเข็น หรือ แผงลอย
ซึ่งหลายคนอาจจะกังวลเรื่องความสะอาด และมองว่าไม่ถูกหลักอนามัยเท่าที่ควร
ดังนั้นด้วยสายเลือดชาวอีสานที่พลุ่งพล่าน อยากจะนำเสนอรสชาติอาหารอีสานแบบออริจินัลให้คนกรุงเทพฯ ได้สัมผัส
คุณดี้ เลยตัดสินใจเปิดร้านอาหารอีสานเอง ยอมจ่ายค่าเช่าที่สูง เพื่อเปิดร้านแรกที่สยามสแควร์
เพื่อแลกกับฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มคนทำงาน และกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งคุณดี้มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
คุณดี้ เลยตัดสินใจเปิดร้านอาหารอีสานเอง ยอมจ่ายค่าเช่าที่สูง เพื่อเปิดร้านแรกที่สยามสแควร์
เพื่อแลกกับฐานลูกค้ากลุ่มใหญ่ ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มนักเรียน นักศึกษา กลุ่มคนทำงาน และกลุ่มนักท่องเที่ยว ซึ่งคุณดี้มองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
เมื่อร้านปักหมุดในทำเลที่ดีแล้ว คอนเซปต์ร้านก็ต้องโดน
หนึ่งในจุดเด่นของร้านส้มตำนัว ที่ลูกค้าสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเช็กอิน คือ บรรยากาศการตกแต่งร้าน ที่ให้กลิ่นอายของความเป็นอีสานแท้ ในสไตล์โมเดิร์น
หนึ่งในจุดเด่นของร้านส้มตำนัว ที่ลูกค้าสัมผัสได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มาเช็กอิน คือ บรรยากาศการตกแต่งร้าน ที่ให้กลิ่นอายของความเป็นอีสานแท้ ในสไตล์โมเดิร์น
ส่วนเมนูอาหาร ทางคุณดี้ก็จัดเต็ม สูตรต้องเป๊ะ เพราะต้องการคงรสชาติแบบที่คนอีสานกินไว้ เพิ่มเติมคือ ความสะอาดและคุณภาพของวัตถุดิบที่เลือกใช้
เพราะฉะนั้น ทุกสูตรต้องผ่านมาตรฐานของคุณดี้ ซึ่งแม้จะไม่ได้เข้าครัวเอง
แต่พ่อครัว-แม่ครัวของที่ร้าน ต้องผ่านการฝึกและทดสอบฝีมือ จนมั่นใจว่ารสชาติได้ตามสูตร จึงจะปฏิบัติงานได้
เพราะฉะนั้น ทุกสูตรต้องผ่านมาตรฐานของคุณดี้ ซึ่งแม้จะไม่ได้เข้าครัวเอง
แต่พ่อครัว-แม่ครัวของที่ร้าน ต้องผ่านการฝึกและทดสอบฝีมือ จนมั่นใจว่ารสชาติได้ตามสูตร จึงจะปฏิบัติงานได้
โดยเมนูเด็ดของทางร้าน ไม่ได้มีแค่ส้มตำ ยังมีอีกหลากหลายเมนูขึ้นชื่อจากภาคอีสาน
ไม่ว่าจะเป็น ลาบขนมจีน, พล่าไส้กรอกอีสาน, ต้มแซ่บกระดูกอ่อน, น้ำตก, ผัดขนมจีน
แต่ที่เด็ดที่สุด คือ ส้มตำมั่ว ซึ่งถือเป็นเมนูแจ้งเกิดให้กับร้านก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเป็น ลาบขนมจีน, พล่าไส้กรอกอีสาน, ต้มแซ่บกระดูกอ่อน, น้ำตก, ผัดขนมจีน
แต่ที่เด็ดที่สุด คือ ส้มตำมั่ว ซึ่งถือเป็นเมนูแจ้งเกิดให้กับร้านก็ว่าได้
ซึ่งนอกจากคุณดี้จะภาคภูมิใจว่าเป็นผู้บุกเบิกนำเมนู “ส้มตำมั่ว” ของชาวอีสาน เข้ามาเสิร์ฟในเมืองกรุง ยังพาเมนูตำมั่วขึ้นห้างสรรพสินค้าเป็นเจ้าแรกด้วย
โดยกว่าจะได้สูตรลับมาก็ไม่ง่าย คุณดี้ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ต้องไปตระเวนชิมเมนูส้มตำทั่วอีสาน
แล้วคัดสรรเฉพาะจานเด็ด ๆ ของแต่ละที่ ซึ่งมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน มารังสรรค์ในสไตล์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน
ปัจจุบัน ส้มตำนัว มี 6 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์, สยามเซ็นเตอร์, เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, เซ็นทรัลเวิลด์, เมกกาบางนา และเซ็นทรัลลาดพร้าว
แล้วคัดสรรเฉพาะจานเด็ด ๆ ของแต่ละที่ ซึ่งมีจุดเด่นไม่เหมือนกัน มารังสรรค์ในสไตล์ที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน
ปัจจุบัน ส้มตำนัว มี 6 สาขา ได้แก่ สยามสแควร์, สยามเซ็นเตอร์, เซ็นทรัล เอ็มบาสซี, เซ็นทรัลเวิลด์, เมกกาบางนา และเซ็นทรัลลาดพร้าว
หนึ่งในกลยุทธ์การขยายสาขาที่น่าสนใจของส้มตำนัว
ไม่ได้ทำให้ลูกค้า รู้สึกว่าส้มตำนัว ก็เหมือนเป็นร้านแฟรนไชส์ทั่วไป
ที่ทุกสาขามีเมนูและวิธีการตกแต่งร้านแบบเดียวกันหมด
ไม่ได้ทำให้ลูกค้า รู้สึกว่าส้มตำนัว ก็เหมือนเป็นร้านแฟรนไชส์ทั่วไป
ที่ทุกสาขามีเมนูและวิธีการตกแต่งร้านแบบเดียวกันหมด
เพราะแม้ทุกสาขาจะคงไว้ซึ่งกลิ่นอายความเป็นร้านอาหารอีสาน แต่จะเลือกตกแต่งให้มีความแตกต่าง
ที่สำคัญยังเพิ่มลูกเล่น ด้วยการนำเสนอเมนูซิกเนเจอร์ในแต่ละสาขาที่ไม่เหมือนกัน
ที่สำคัญยังเพิ่มลูกเล่น ด้วยการนำเสนอเมนูซิกเนเจอร์ในแต่ละสาขาที่ไม่เหมือนกัน
อย่างสาขาสยามสแควร์ มีเมนูไฮไลท์ คือ ผัดขนมจีน
สาขาสยามเซ็นเตอร์ มีเมนู พล่าไส้กรอกอีสาน และลาบขนมจีน
แต่ถ้าอย่างชิมอ่อมเนื้อลาย เนื้อย่างกะทะร้อน ต้องมาสาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี
สาขาสยามเซ็นเตอร์ มีเมนู พล่าไส้กรอกอีสาน และลาบขนมจีน
แต่ถ้าอย่างชิมอ่อมเนื้อลาย เนื้อย่างกะทะร้อน ต้องมาสาขาเซ็นทรัล เอ็มบาสซี
นั่นหมายความว่า ถ้าเกิดลูกค้ากินเมนูซิกเนเจอร์ ของสาขาไหนแล้วเกิดติดใจขึ้นมา
ก็ต้องกลับมากินที่สาขานั้นเท่านั้น
ก็ต้องกลับมากินที่สาขานั้นเท่านั้น
ฟังดูอาจจะเป็นกลยุทธ์ที่ขัดใจหลายคน แต่ในมุมของส้มตำนัว
กลับมองว่าเป็นกิมมิก ที่ทำให้แต่ละสาขามีลูกค้าประจำ
ขณะเดียวกัน ยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้ลูกค้า อยากหมุนเวียนไปลองเมนูซิกเนเจอร์ที่มีเฉพาะสาขานั้น ๆ
กลับมองว่าเป็นกิมมิก ที่ทำให้แต่ละสาขามีลูกค้าประจำ
ขณะเดียวกัน ยังสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ให้ลูกค้า อยากหมุนเวียนไปลองเมนูซิกเนเจอร์ที่มีเฉพาะสาขานั้น ๆ
และด้วยความพิถิพิถันในการสร้างแบรนด์ บวกกับความขยันในการสร้างกิมมิก เพื่อสร้างความแตกต่าง
ทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดในวงการมาได้เกือบ 20 ปีไม่พอ
ล่าสุด ส้มตำนัวกำลังจะก้าวสู่อีกบันทึกหน้าสำคัญของแบรนด์
ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร CRG
ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งร่วมทุนกับร้านสลัดชื่อดังอย่าง “สลัด แฟคทอรี่” และ ชานมไข่มุก “บราวน์”
ทำให้แบรนด์สามารถยืนหยัดในวงการมาได้เกือบ 20 ปีไม่พอ
ล่าสุด ส้มตำนัวกำลังจะก้าวสู่อีกบันทึกหน้าสำคัญของแบรนด์
ด้วยการเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร CRG
ซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งร่วมทุนกับร้านสลัดชื่อดังอย่าง “สลัด แฟคทอรี่” และ ชานมไข่มุก “บราวน์”
ถามว่า ทำไม CRG ถึงสนใจเป็นเจ้าของส้มตำนัว ?
แน่นอนว่า กลุ่ม CRG ต้องเล็งเห็นศักยภาพของแบรนด์ ซึ่งอยู่คู่คนไทยมานาน
ทำให้ CRG ไม่ต้องเหนื่อยกับการสร้างแบรนด์ใหม่ แถมยังมีศักยภาพที่สามารถต่อยอดได้อีกไกล
ทำให้ CRG ไม่ต้องเหนื่อยกับการสร้างแบรนด์ใหม่ แถมยังมีศักยภาพที่สามารถต่อยอดได้อีกไกล
อย่าลืมว่าจุดแข็งของ CRG คือ มีความชำนาญอยู่แล้วในการบริหารร้านแฟรนไชส์
แถมยังคว่ำหวอดในวงการร้านอาหาร
แถมยังคว่ำหวอดในวงการร้านอาหาร
การจะขยายสาขาของร้านส้มตำนัว ให้สามารถเสิร์ฟความอร่อยไปได้ทั่วถึงมากขึ้น ไม่ใช่เรื่องยาก
ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบสาขาในศูนย์การค้า, ร้าน Stand Alone หรือ แม้แต่โมเดล Cloud Kitchen
ซึ่งทาง CRG ก็มีเป้าหมายชัดอยู่แล้วว่า ภายใน 5 ปี จะขยายสาขาไม่น้อยกว่า 130 สาขา
ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบสาขาในศูนย์การค้า, ร้าน Stand Alone หรือ แม้แต่โมเดล Cloud Kitchen
ซึ่งทาง CRG ก็มีเป้าหมายชัดอยู่แล้วว่า ภายใน 5 ปี จะขยายสาขาไม่น้อยกว่า 130 สาขา
หรือ พูดง่ายๆ ว่า ภายใน 5 ปี ส้มตำนัว จะมีสาขาเพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 20 เท่าตัว
ซึ่งหมายถึงรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วยเช่นกัน
ซึ่งหมายถึงรายได้ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดด้วยเช่นกัน
ที่สำคัญ ถ้าไปดูพอร์ตโฟลิโอร้านอาหารในเครือของ CRG จะเห็นว่า
แม้ CRG จะมีทั้งแบรนด์ร้านอาหารไทย ร้านอาหารญี่ปุ่น ไอศกรีม ของทานเล่น ร้านสลัด ไปจนถึงร้านชาไข่มุก แต่จิ๊กซอร์ที่ยังขาดหายไป คือ ร้านอาหารอีสาน
แม้ CRG จะมีทั้งแบรนด์ร้านอาหารไทย ร้านอาหารญี่ปุ่น ไอศกรีม ของทานเล่น ร้านสลัด ไปจนถึงร้านชาไข่มุก แต่จิ๊กซอร์ที่ยังขาดหายไป คือ ร้านอาหารอีสาน
เพราะฉะนั้น ส้มตำนัว จึงถือเป็นใบเบิกทางที่เปิดโอกาสให้ CRG เข้ามารุกตลาด เพื่อสร้างฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะอย่าลืมว่า “ร้านอาหารอีสาน” เป็นประเภทอาหารที่ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคชาวไทย
กินได้บ่อยไม่เบื่อ เพราะคนไทยชอบรสชาติจัดจ้าน และยังมีโอกาสขยายสาขาไปยังต่างประเทศได้ไม่ยาก
เพราะแม้แต่ CNN Travel ยังจัดอันดับให้ ส้มตำเป็น 1 ใน 50 อาหารที่ดีที่สุดในโลกในปี 2020
กินได้บ่อยไม่เบื่อ เพราะคนไทยชอบรสชาติจัดจ้าน และยังมีโอกาสขยายสาขาไปยังต่างประเทศได้ไม่ยาก
เพราะแม้แต่ CNN Travel ยังจัดอันดับให้ ส้มตำเป็น 1 ใน 50 อาหารที่ดีที่สุดในโลกในปี 2020
อย่างไรก็ตาม แม้จะได้ ส้มตำนัว เข้ามาเสริมทัพ
แต่ท่ามกลางสมรภูมิร้านอาหารที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ศึกครั้งนี้ ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ
ต้องรอดูว่า CRG จะมีกลยุทธ์อะไรที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อมัดใจลูกค้า
แต่ท่ามกลางสมรภูมิร้านอาหารที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด
ศึกครั้งนี้ ก็ไม่อาจนิ่งนอนใจ
ต้องรอดูว่า CRG จะมีกลยุทธ์อะไรที่เหนือกว่าคู่แข่ง เพื่อมัดใจลูกค้า
เพราะอย่าลืมว่า ในขณะที่ CRG เพิ่งประเดิมปั้นแบรนด์ร้านอาหารอีสาน
แต่เชนคู่แข่งอย่างเซ็น กรุ๊ป ก็มีอาวุธลับอย่างร้านตำมั่ว ซึ่งวันนี้มีมากกว่า 100 สาขา
แถมยังเตรียมส่งโมเดลร้าน ตำมั่ว เอ็กซ์เพลส และเครื่องปรุงแซ่บ ๆ เพื่อเข้าไปอยู่คู่ครัวไทยมากขึ้น
แต่เชนคู่แข่งอย่างเซ็น กรุ๊ป ก็มีอาวุธลับอย่างร้านตำมั่ว ซึ่งวันนี้มีมากกว่า 100 สาขา
แถมยังเตรียมส่งโมเดลร้าน ตำมั่ว เอ็กซ์เพลส และเครื่องปรุงแซ่บ ๆ เพื่อเข้าไปอยู่คู่ครัวไทยมากขึ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าถามว่า สมรภูมินี้ ใครจะได้ประโยชน์มากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้น สายกินโดยเฉพาะคนที่ชื่นชอบอาหารอีสานนั่นเอง..