Libra 2.0 กับ สกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง การเปลี่ยนจากคู่แข่งเป็นพันธมิตร จะได้ผลหรือไม่ ?
26 พ.ค. 2020
ผ่านมาประมาณเกือบปีกับการเปิดตัวโครงการ Libra ที่ Facebook เป็นผู้ผลักดัน
โดยมีเป้าหมายที่จะเป็น “สกุลเงินของโลก” ซึ่งบริหารงานโดยองค์กรอิสระที่ชื่อ “Libra Association”
โดยมีเป้าหมายที่จะเป็น “สกุลเงินของโลก” ซึ่งบริหารงานโดยองค์กรอิสระที่ชื่อ “Libra Association”
แต่จากช่วงที่ผ่านมาโครงการ Libra ก็เผชิญปัญหาในหลายด้านจากหน่วยงานภาครัฐในสหรัฐฯ เองหรือการถอนตัวจากพันธมิตรเอกชนต่างๆ
ด้วยความกังวลว่า Libra จะทำให้อำนาจรัฐ และธนาคารกลางถูกลดบทบาทลง
รวมถึงความน่าเชื่อถือของเอกชนในการสร้างเงินดิจิทัล
รวมถึงความน่าเชื่อถือของเอกชนในการสร้างเงินดิจิทัล
แม้ Libra จะบอกว่าตัวเองเป็น Stable Coin ที่มีสินทรัพย์จริงหนุนหลังเป็นเงินของสกุลประเทศนั้นก็ตาม
แต่ลองคิดภาพว่าแต่ละประเทศอนุญาตและใช้เงินสกุล Libra จริง แสดงว่าต้องมีการพึ่งพิงระบบของ Libra เสมือนเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจ
แต่ลองคิดภาพว่าแต่ละประเทศอนุญาตและใช้เงินสกุล Libra จริง แสดงว่าต้องมีการพึ่งพิงระบบของ Libra เสมือนเป็นการยืมจมูกคนอื่นหายใจ
และหมายความว่านอกจากรัฐบาลแล้ว Libra ก็จะรู้ถึงข้อมูลการใช้-จ่ายเงินของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบัน Customer Data เป็นข้อมูลที่มีค่ากับหน่วยงานทั้งภาครัฐ และเอกชนเป็นอย่างมาก
แต่ทาง Libra ก็กลับมาในชื่อ Libra 2.0
ที่มีการประณีประณอมกับทางฝั่งรัฐบาลและธนาคารกลางมากขึ้น โดย Libra Coin แบบที่ให้ธนาคารกลางทั่วโลกเข้ามาสร้างเงินสกุลดิจิทัลเองได้
ที่มีการประณีประณอมกับทางฝั่งรัฐบาลและธนาคารกลางมากขึ้น โดย Libra Coin แบบที่ให้ธนาคารกลางทั่วโลกเข้ามาสร้างเงินสกุลดิจิทัลเองได้
ซึ่งเริ่มแรกมี 4 สกุลเงินคือ USD, EUR, GBP และ SGD โดยต้องมีเงินสำรองในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 โดยเก็บไว้ในบัญชีธนาคารของ Libra และมีการปรับปรุงระดับความปลอดภัย และกฏเกณฑ์อื่นเพิ่มเติม
แต่อย่างไรก็ตามอาจจะไม่ตอบโจทย์นี้เรื่อง ความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งานที่จะไม่ถูกนำไปหาประโยชน์เรื่องอื่นๆ
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นทางธนาคารกลางจีนก็ได้ออกข่าวความคืบหน้าในการใช้เงิน Digital Yuan โดยเป็นการเริ่มทดลองใน 4 เมือง ได้แก่ เซิ่นเจิ้น ซูโจว เฉิงตู และสงอัน
มีการร่วมมือกับร้านค้าอย่าง Starbucks และ McDonald's โดย Digital Yuan จีนนั้นจะสามารถใช้กับ App ของตนเองหรือใช้ร่วมกับระบบ Wepay, Alipay ก็ได้
มีการร่วมมือกับร้านค้าอย่าง Starbucks และ McDonald's โดย Digital Yuan จีนนั้นจะสามารถใช้กับ App ของตนเองหรือใช้ร่วมกับระบบ Wepay, Alipay ก็ได้
แน่นอนว่าประเทศจีนที่ยังคงมีการ Block Facebook และยิ่งในช่วงปัจจุบันเริ่มมีประเด็นสงครามการค้าระหว่าง สหรัฐฯ-จีน ที่อาจทวีความรุนแรงขึ้นในช่วงเลือกตั้งสหรัฐฯ ทำให้ไม่มีทางที่จะเข้าร่วม และใช้เงินสกุล Libra อย่างแน่นอน
สำหรับประเทศไทยเองนั้นคุ้นชินกับ Digital Money มาสักพักแล้ว เช่น Rabbit Line pay หรือ True wallet ที่ใช้แค่ในระบบปิดของตนเองอย่างซื้อของใน 7-11 หรือชำระค่าโดยสาร แต่ก็ยังต้องทำการชำระเงินบาทเข้ามาในระบบก่อน และยังไม่สามารถนำไปชำระหนี้ได้ตามกฏหมาย
แต่ทางธนาคารแห่งประเทศไทยก็มีการพัฒนา “โครงการอินทนนท์” ที่เป็นเงินสกุลดิจิทัลของธนาคารกลาง ที่นำเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology (DLT) หรือระบบ Blockchain มาประยุกต์ใช้
โดยความคืบหน้าล่าสุดผลการทดสอบโครงการอินทนนท์ระยะที่ 3 สามารถโอนเงินข้ามประเทศระหว่างธนาคารสมาชิกได้แบบ Real-time โดยได้ทดสอบกับธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA) และสำเร็จไปได้ด้วยดี
ข้อดีของ Digital Currency ของธนาคารกลางเองนั้น นอกจากจะทำให้ต้นทุนของการเพิ่มเงินในระบบลดลงแล้ว ยังสามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินในระบบได้อย่างทั่วถึง
รวมถึงการดำเนินการชำระเงิน Settlement ก็จะรวดเร็วขึ้นเป็นการประหยัดต้นทุนทั้งด้านเวลา และค่าใช้จ่ายให้กับระบบการเงินของประเทศ
การเข้ามาของ Digital Currency คงจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยธุรกิจแบบเดิมอย่าง ร้านแลกเงินต่างๆ ก็อาจจะมีบทบาทน้อยลงไปบ้าง
เพราะปัจจุบันการชำระเงินสกุลต่างประเทศ หรือการพกเงินไปเที่ยวต่างประเทศ สามารถชำระผ่านช่องทางที่ไม่ใช่เงินสดเช่น Credit Card, Paypal หรือบัตรเดบิตท่องเที่ยว
โดยธุรกิจแบบเดิมอย่าง ร้านแลกเงินต่างๆ ก็อาจจะมีบทบาทน้อยลงไปบ้าง
เพราะปัจจุบันการชำระเงินสกุลต่างประเทศ หรือการพกเงินไปเที่ยวต่างประเทศ สามารถชำระผ่านช่องทางที่ไม่ใช่เงินสดเช่น Credit Card, Paypal หรือบัตรเดบิตท่องเที่ยว
และในอนาคตเมื่อ Digital Currency สามารถใช้ได้อย่างเป็นทางการ การโอนเงินชำระค่าสินค้าระหว่างประเทศสำหรับภาคธุรกิจก็จะรวดเร็ว ถูกต้อง และมีค่าใช้จ่ายที่ลดลง
จะเห็นได้ว่าธนาคารกลางในแต่ละประเทศนั้นได้มีโครงการพัฒนา Digital Currency เป็นของตนเอง
แม้จะมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันบ้าง เช่น ประเทศจีนที่กล่าวว่าไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Blockchain
แม้จะมีเทคโนโลยีที่แตกต่างกันบ้าง เช่น ประเทศจีนที่กล่าวว่าไม่ได้ใช้เทคโนโลยี Blockchain
แต่ก็ทำให้โครงการ Libra นั้นมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างที่วางแผนไว้น้อยลง
โดยสื่อชื่อดังอย่าง Financial Times ได้เรียกว่าเป็นแค่ PayPal ตัวใหม่เท่านั้นเอง
หมายความว่า Libra ก็จะเป็นแค่ระบบการชำระเงินออนไลน์ หรืออย่างมากก็เป็นเพียง E-wallet หรือ Digital Money อีกประเภทเท่านั้น
โดยสื่อชื่อดังอย่าง Financial Times ได้เรียกว่าเป็นแค่ PayPal ตัวใหม่เท่านั้นเอง
หมายความว่า Libra ก็จะเป็นแค่ระบบการชำระเงินออนไลน์ หรืออย่างมากก็เป็นเพียง E-wallet หรือ Digital Money อีกประเภทเท่านั้น
ซึ่งเราก็คงต้องรอจับตาดู และปัจจัยที่สำคัญคือจะมีธนาคารกลางประเทศใดที่จะให้ Libra เป็น Digital Currency แทนที่จะพัฒนาเอง
ที่มา - บริษัท หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จำกัด