
เจาะเส้นทางความสำเร็จ 30 ปี PFS บริษัทผลิตอาหารแปรรูปแบบแห้งของไทย รายได้ 4,600 ล้าน
14 มี.ค. 2025
ย้อนกลับไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว คงไม่มีใครคาดคิดว่า PFS หรือ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด จะกลายเป็นผู้นำการผลิตอาหารแปรรูปแบบแห้ง ครบวงจรของประเทศไทย และยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ดรีมมี่ และ ไบท์มี
ที่สำคัญ ตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ยังมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด
จาก 10 ปีแรก ที่มียอดขายอยู่ที่หลักร้อยล้านบาท พอเข้าปีที่ 20 ก็มียอดขายทะลุ 2,000 ล้านบาท
จนมาถึงวันที่บริษัทอายุครบ 30 ปี ในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายถึง 4,604 ล้านบาท
จาก 10 ปีแรก ที่มียอดขายอยู่ที่หลักร้อยล้านบาท พอเข้าปีที่ 20 ก็มียอดขายทะลุ 2,000 ล้านบาท
จนมาถึงวันที่บริษัทอายุครบ 30 ปี ในปี 2024 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายถึง 4,604 ล้านบาท
อะไรคือ เคล็ดลับความสำเร็จของ PFS และก้าวต่อไปของบริษัทคืออะไร
ทุกคำตอบถูกเฉลยในงานครบรอบ 30 ปี “PFS’s 30 Years : SYNERGY OF SUCCESS”
ทุกคำตอบถูกเฉลยในงานครบรอบ 30 ปี “PFS’s 30 Years : SYNERGY OF SUCCESS”
คุณวรภาส มหัทธโนบล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด
เฉลยถึงเคล็ดลับที่ทำให้ PFS ประสบความสำเร็จว่า มาจากความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเทคโนโลยีการถนอมอาหารอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพันธมิตร และผู้บริโภค
เพราะ PFS เชื่อมั่นว่าคุณภาพคือหัวใจสำคัญ ที่จะทำให้ PFS เป็นผู้นำในการผลิตแบบครบวงจรในอนาคต
ดังนั้น เพื่อฉลองในโอกาสครบรอบ 30 ปี ซึ่งถือเป็นการก้าวไปอีกขั้นของบริษัท
PFS จึงถือโอกาสเปิดตัวโลโกใหม่ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของ PFS ในอนาคต
PFS จึงถือโอกาสเปิดตัวโลโกใหม่ ที่สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และพันธกิจของ PFS ในอนาคต
“ตอนที่เราตั้งบริษัทเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เราไม่ได้คาดคิดว่าบริษัทของเราจะเติบโตมาจน 30 ปี
เราเลยทำโลโกแบบง่าย ๆ มาถึงวันนี้ เราตั้งใจเปิดตัวโลโกใหม่ ที่ไม่เพียงสะท้อนถึงการเติบโต
แต่ยังแทนสัญญาใจของ PFS ต่อทุก ๆ พันธมิตรทางธุรกิจ
เราเลยทำโลโกแบบง่าย ๆ มาถึงวันนี้ เราตั้งใจเปิดตัวโลโกใหม่ ที่ไม่เพียงสะท้อนถึงการเติบโต
แต่ยังแทนสัญญาใจของ PFS ต่อทุก ๆ พันธมิตรทางธุรกิจ
ที่มีหมุดหมายสำคัญ คือ ต้องการเป็นศูนย์รวมแบบครบวงจรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคไว้วางใจอย่างไม่เคยหยุดนิ่ง
โดย PFS จะมุ่งมั่นก้าวต่อไปสู่อนาคตด้วยนวัตกรรมการผลิต
สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ส่งเสริมสุขภาพของผู้คนบนโลก พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
สร้างผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ส่งเสริมสุขภาพของผู้คนบนโลก พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน”
ส่วนจะเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไปอย่างไรนั้น คุณภาณุ มหัทธโนบล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จำกัด ฉายภาพให้เห็นทิศทางการขับเคลื่อนบริษัทอย่างน่าสนใจว่า
“โรงงานแห่งแรกของเราอยู่ที่มหาชัย เพราะธุรกิจของเราเริ่มจากสินค้ากลุ่มซีฟู้ด ดังนั้นเราเลยตั้งโรงงานอยู่ใกล้แหล่งวัตถุดิบ
โดยเราเริ่มจากสินค้ากลุ่ม Freeze Drying และ Air Drying
ซึ่งแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ต้องลงทุนสูง แต่ก็ทำให้เรามีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (Barriers to Entry) ที่สูง
ซึ่งแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ต้องลงทุนสูง แต่ก็ทำให้เรามีอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาด (Barriers to Entry) ที่สูง
ในปีแรกที่ก่อตั้งบริษัท เรามีทีมงานเพียง 18 คน ยอดขายประมาณ 17 ล้านบาท
ด้วยยอดขายที่เติบโตแบบ 100% ทุกปี บวกกับการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาต่อยอดในการผลิต รวมถึงการพัฒนาแพ็กเกจจิงใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และการทำการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภค ทำให้รายได้ของบริษัททะยานแตะหลักพันล้านบาท
ด้วยยอดขายที่เติบโตแบบ 100% ทุกปี บวกกับการนำนวัตกรรม เทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาต่อยอดในการผลิต รวมถึงการพัฒนาแพ็กเกจจิงใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และการทำการตลาดที่เข้าถึงผู้บริโภค ทำให้รายได้ของบริษัททะยานแตะหลักพันล้านบาท
สำหรับก้าวต่อไปในการก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 4
PFS ตั้งเป้าจะดันยอดขายแตะ 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2030
PFS ตั้งเป้าจะดันยอดขายแตะ 7,000 ล้านบาท ภายในปี 2030
โดยกลยุทธ์สำคัญที่จะพาบริษัทพิชิตเป้าหมายดังกล่าวได้ คือ การขยายตลาด และออกสินค้าใหม่ในกลุ่ม Health & Well-being เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่รักสุขภาพ
โดยในปีนี้ PFS มีแผนจะเพิ่มสินค้าใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่
- Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dried ซึ่งมีด้วยกัน 3 สูตร
ประกอบด้วย สูตร Vitamin C, Vitamin E, Fiber
ประกอบด้วย สูตร Vitamin C, Vitamin E, Fiber
- Dreamy Fruit Tea with Stevia มาพร้อม 5 รสชาติ
ประกอบด้วย Apple, Yuzu, Peach, Mixed Berries, Honey Lemon
ประกอบด้วย Apple, Yuzu, Peach, Mixed Berries, Honey Lemon
- Dreamy Natural Oat Milk Creamer เป็นครีมเมอร์จากน้ำมันมะพร้าวและโปรตีนนมโอ๊ต
นอกจากกลยุทธ์หลักอย่างการขยายพอร์ต PFS ยังมีการเพิ่มกำลังการผลิตทั้ง Freeze Dry และ Spray Dry
โดยในกลุ่ม Freeze Dry จะ Diversify จากกลุ่มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไปสู่กลุ่มอาหารสุนัข
ซึ่งเป็นตลาดที่มีดีมานด์สูง พร้อมทั้งเปิดสายการผลิตเพิ่มในกลุ่ม Frozen ด้วยเทคโนโลยี Individual Quick Frozen หรือ IQF
ซึ่งเป็นตลาดที่มีดีมานด์สูง พร้อมทั้งเปิดสายการผลิตเพิ่มในกลุ่ม Frozen ด้วยเทคโนโลยี Individual Quick Frozen หรือ IQF
รวมถึงการผลักดัน R&D Technical Center เพื่อการวิจัยและพัฒนาสินค้า กลุ่มนวัตกรรม ที่สอดรับกับเทรนด์สุขภาพและความยั่งยืนที่กำลังมาแรง
ความสำเร็จของ PFS จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรที่อยู่เคียงข้างมาตลอด
วันนี้ PFS ไม่ได้มองว่าเป้าหมายสูงสุดในการทำธุรกิจของเรา คือ การทำกำไร
แต่เราตั้งใจส่งมอบอาหารที่ดี และสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและโลก”
วันนี้ PFS ไม่ได้มองว่าเป้าหมายสูงสุดในการทำธุรกิจของเรา คือ การทำกำไร
แต่เราตั้งใจส่งมอบอาหารที่ดี และสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อมและโลก”
ด้วยความมุ่งมั่นนี้เอง PFS จึงถือโอกาสนี้ จัดเสวนา ในหัวข้อ “Food Insecurity and the next chapter” คิดและปรับตัวกับทุกมิติที่ผู้บริโภคต้องการ เพื่อเข้าถึงแหล่งอาหารโลกอย่างยั่งยืนในอนาคต
โดยได้รับเกียรติจาก ผศ. ดร.วิษุวัต สงนวล หัวหน้าภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และคุณเชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ ร่วมเสวนา
คุณเชอรี่ บอกว่า จุดเริ่มต้นในการดูแลสิ่งแวดล้อม มาจากความรักตัวเอง จึงเริ่มให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหาร ทำให้ค้นพบว่า คนเราจะคิดถึงแต่ตัวเอง แล้วละเลยสิ่งแวดล้อมไม่ได้เลย
ดังนั้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว จึงเริ่มหันมาสนใจเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อม
และพบว่า การรักตัวเองและการใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็น 2 เรื่องที่ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี
“หลายคนถามว่า จะดูแลสิ่งแวดล้อม เริ่มจากตรงไหน คำตอบคือ เริ่มจากชีวิตประจำวัน อย่างการเลือกแหล่งที่มาของอาหาร ไม่ว่าจะมาจากพืชหรือสัตว์
เชอรี่เองพอมาเริ่มใส่ใจสิ่งแวดล้อม ก็กินเนื้อสัตว์น้อยลง เนื้อวัวแทบไม่กิน เพราะขั้นตอนการเลี้ยง ฆ่า คือ ผลิตมีเทนเยอะ
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ถ้าอยากรักษ์โลก ต้องเลิกกินเนื้อสัตว์เลย
เพราะเชอรี่ก็เคยผ่านช่วงที่สุดโต่ง ไม่กินเนื้อสัตว์เลย จนกระทบต่อสุขภาพ
ตอนหลังเลยหันมาบาลานซ์ในการกินเนื้อสัตว์และผัก เป็น Flexitarian กินมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น
นอกจากนี้ยังลดการสร้าง Food Waste หรือขยะอาหารน้อย
เน้นกินอาหารตามฤดูกาล และสนับสนุนผลผลิตที่มาจากในท้องถิ่น
เลือกบริโภคผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ดูไปถึงเรื่องการค้าที่เป็นธรรม (Fair Trade)”
ด้าน ผศ. ดร.วิษุวัต เล่าถึงมุมมองต่ออาหารแห่งอนาคตอย่างน่าสนใจว่า
การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ, จำนวนประชากรโลกที่เพิ่มขึ้น จนมีการคาดการณ์ว่าในปี 2050 ต้องผลิตอาหารเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 2 เท่า, ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์, การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ, เทรนด์รักสุขภาพ และการมาของ AI ล้วนส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหาร
ดังนั้น จึงเป็นที่มาของเทรนด์อาหารแห่งอนาคต ที่กำลังมาแรง แบ่งเป็น 4 กลุ่ม
1. Functional Food กินแล้วมีผลดีต่อสุขภาพ
2. Organic Food ตอนนี้ฝั่งยุโรปและอเมริกา มองว่าเป็นอาหารปกติ มีวางขายอยู่เกินครึ่งในซูเปอร์มาร์เก็ต
3. Specialized Food อาหารเฉพาะกลุ่ม สำหรับเด็ก อาหารทางการแพทย์
4. Plant-Based Protein กำลังเติบโต โดยไทยตั้งเป้าจะส่งออก 500,000 ล้านบาท ในปี 2027
อย่างไรก็ตาม คุณเชอรี่ เสริมด้วยว่า ที่ผ่านมาหลายคนมักติดภาพว่าอาหารสุขภาพมักไม่อร่อย
ดังนั้น หากต้องการขยายตลาดนี้ให้ใหญ่ อาจจะต้องปรับมุมมองต่ออาหารสุขภาพ ว่าไม่ใช่แค่ดีต่อสุขภาพ แต่ดีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และชุมชน
“เชอรี่มองว่า ในยุคที่ใคร ๆ ก็พูดถึง คำว่ายั่งยืน แต่เหนือกว่าความยั่งยืน คือ ต้องมองไปถึงเรื่องการฟื้นฟูด้วย รวมถึงการสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) และการสร้างระบบนิเวศ
เพราะผลพวงจากการไม่ดูแลสิ่งแวดล้อม ทำให้หลายอย่างในวงจรระบบนิเวศหายไป
ทำให้ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยิ่งขยายวงกว้าง และทวีความรุนแรง”
ถามว่าคนที่อยู่ในวงการอาหารต้องปรับตัวอย่างไร เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความมั่นคงทางอาหาร
คุณเชอรี่ มองว่า การวิจัยและพัฒนา (R&D) เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อยืดอายุอาหารต่าง ๆ ให้นานขึ้น โดยที่ยังมีสารอาหารมากพอ สามารถบริโภคได้สะดวก รวดเร็ว
รวมถึงการนำ Blockchain มาใช้ในการสร้าง Food Security สามารถสืบหาที่มาของอาหาร
ขณะที่บริษัทผู้ผลิตอาหารก็ต้องใส่ใจไปถึงการพัฒนาแพ็กเกจจิง เพื่อช่วยลดปัญหาขยะ ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทาง
สอดคล้องกับมุมมองของ ผศ. ดร.วิษุวัต มองว่า Productivity ของพืชที่ลดลง จากการใช้วิธีเร่งผลผลิต จำเป็นต้องได้รับการฟื้นฟู และหันมาใช้การคัดเลือกสายพันธ์ุพืช ที่เน้นรสชาติมากกว่าการให้ผลผลิตใหม่ รวมถึงเพิ่มเรื่อง R&D
“ถ้าพืชดี ก็เป็นอาหารสัตว์ที่ดี ทำให้ได้ผลผลิตเนื้อ-นม-ไข่ ที่ดีตามมา
ประเทศไทยเราใช้พื้นที่เกือบ 50% ไปกับการทำการเกษตร ลองจินตนาการดูว่าถ้าเราสามารถทำให้ Productivity ของพืชดีขึ้นกว่าเดิม 50% จะส่งผลดีขนาดไหน”
เช่นเดียวกับในด้านความปลอดภัยของอาหารและการยืดอายุของอาหาร
เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะท่ามกลางภาวะโลกร้อน พืชผลให้ผลผลิตไม่ตรงตามเวลา
สิ่งที่จะมาช่วย คือ เทคโนโลยีที่ขยายอายุอาหาร ทำให้เรามี Food Security
ถ้าโฟกัสมาที่ประเทศไทย เราเป็นแหล่งอาหารอยู่แล้ว และเก่งเรื่องการตลาด
แต่สิ่งที่ยังเป็นข้อจำกัด คือ เทคโนโลยี ดังนั้น ประเทศไทยต้องชูความโดดเด่นเรื่องวัตถุดิบ
ยกตัวอย่างการทำแพลนต์เบส นอกจากจะใช้แค่ถั่วเหลือง ประเทศไทยเรามีถั่วอีกหลายชนิดที่จะมานำเสนอทางเลือกใหม่ ๆ ที่จะมาช่วยผลักดันวงการอาหารไปอีกขั้น
“นวัตกรรมในการยืดอายุที่คิดว่าจะยังไม่มีอะไรมาแทนที่ คือ วิธี Freeze Dry เพราะนอกจากจะทำให้ได้คุณภาพที่ต้องการจริง ๆ ยังก่อให้เกิด Waste น้อยกว่า
ดังนั้น เป็นเรื่องที่น่าดีใจที่ประเทศไทย มีโรงงานที่ทำ Freeze Drying
ใครจะรู้ว่า อีก 100 ปี เราก็อาจจะยังต้องใช้เทคโนโลยีนี้ แต่อาจจะมีการพัฒนาให้ตอบโจทย์และหลากหลายมากขึ้น”
สุดท้ายนี้ ผศ. ดร.วิษุวัต ยังทิ้งท้ายถึงอีกหนึ่งเทรนด์ที่ใกล้ตัว และจะมีอิทธิพลต่อวงการอาหารอย่างแน่นอน คือ การมาของ AI
ซึ่งแม้จะดูคนละฟากกับอาหาร แต่บอกเลยว่าใครที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ก่อน คือ โอกาส
เพราะ AI จะเข้ามามีบทบาทในกระบวนการผลิตอาหารให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น อย่างคาดไม่ถึง..
#PFS #PreservedFoodSpecialty #SynergyofSuccess #ครบรอบ30ปีPFS
Tag:PFS