สรุปไฮไลต์ WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT งานเสวนาแฟชั่นแห่งปี ปักหมุดไทยบนแฟชั่นฮับโลก

สรุปไฮไลต์ WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT งานเสวนาแฟชั่นแห่งปี ปักหมุดไทยบนแฟชั่นฮับโลก

10 ต.ค. 2024
ถ้าใครอยู่ในแวดวงแฟชั่น หรือติดตามข่าวสารในแวดวงนี้กันบ่อย ๆ ก็น่าจะเห็นกระแสในโลกออนไลน์กันอยู่บ้าง ว่าเมื่อวันที่ 4 ตุลาคมที่ผ่านมา เพิ่งจะมีการจัดงาน WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT ซึ่งเป็นสุดยอดงานเสวนาแฟชั่นครั้งใหญ่แห่งปี ภายใต้ธีม SOUTH EAST ASIA - LUXURY’S NEW FUTURE
ที่กลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ ซึ่งเป็นผู้นำโกลบอลเดสติเนชัน ผู้นำแฟชั่นและ Luxury Retail ร่วมกับ WWD (Women’s Wear Daily) สื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการแฟชั่น ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “คัมภีร์แห่งวงการแฟชั่น” ระดับโลก ร่วมกันจัดงานในครั้งนี้ขึ้น เพื่อแสดงศักยภาพของแฟชั่นไทย และอิทธิพลของภูมิภาคอาเซียนที่มีต่อวงการแฟชั่นโลก
คุณชฎาทิพ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทสยามพิวรรธน์ กล่าวถึงบทบาทของสยามพิวรรธน์ ที่เป็นผู้นำในการยกระดับแฟชั่นไทยมากว่า 40 ปี ทั้งร่วมพัฒนาองค์ความรู้ ให้พื้นที่จำหน่ายสินค้า และต่อยอดจนเกิดผลกระทบในเชิงบวก เป็นการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจมหาศาล 
ความน่าสนใจของงานนี้ คือ การเปลี่ยนรันเวย์เป็นเวทีทอล์กระดับโลก รวบรวมสปีกเกอร์ที่ล้วนแล้วแต่เป็น “ผู้นำทางความคิด” และ “ผู้ทรงอิทธิพล” ในแวดวงแฟชั่น และแบรนด์หรูระดับโลก มาร่วมแชร์อินไซต์สุดพิเศษ ที่หาไม่ได้ง่าย ๆ
ส่วนจะมี Session อะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น MarketThink จะสรุปให้อ่านกันทุก Session ในโพสต์นี้..
Session 1 : Building Brand for a Global Consumer
กลยุทธ์การสร้างแบรนด์แฟชั่น ให้ประสบความสำเร็จในระดับโลก
ประเดิมด้วยแนวคิดการสร้างแบรนด์แฟชั่น เพื่อเจาะฐานลูกค้าระดับโลก ของแบรนด์แฟชั่นหรูระดับโลก ทั้ง BOYY, LIE SANGBONG และ Shanghai Tang ที่ใช้กลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ที่แตกต่างกัน
เริ่มกันด้วยกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของ BOYY ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นหรูสัญชาติไทย ที่ประสบความสำเร็จในระดับโลก
ใน Session นี้ คุณบอย วรรณศิริ คงมั่น Co-Founder และ Co-Creative Director ของ BOYY แชร์อินไซต์ว่า BOYY เป็นแบรนด์แฟชั่นหรูสัญชาติไทย ที่มีต้นกำเนิดในนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2006 หรือเมื่อ 18 ปีที่แล้ว
ซึ่งถือเป็นยุคที่การสร้างแบรนด์แฟชั่นหรูเป็นเรื่องยาก เพราะในเวลานั้น ยังไม่มีแม้แต่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และอินฟลูเอนเซอร์ ที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีว่า ทั้งสองอย่างนี้เป็นเหมือนปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จในยุคปัจจุบัน
แต่สิ่งที่คุณบอยทำในวันนั้น คือการเริ่มต้นจากศูนย์ มุ่งมั่นปั้นแบรนด์ BOYY โดยใช้ทั้งความรู้สึก ความคิดสร้างสรรค์ และความเป็นธรรมชาติ จนทำให้ BOYY ค่อย ๆ เป็นที่รู้จักเหมือนในปัจจุบัน
ที่น่าสนใจคือ กลยุทธ์ที่คุณบอยใช้ในการสร้างแบรนด์ BOYY นั้น ประสบความสำเร็จในระดับโลก เพราะนอกจาก BOYY จะมีช็อปในประเทศไทยแล้ว ยังมีช็อปที่เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในศูนย์กลาง และเป็นต้นกำเนิดของแบรนด์หรูระดับโลกมากมาย
นอกจากนี้ ความสำเร็จของแบรนด์ BOYY ยังดูได้จากการที่คุณลิซ่า ลลิษา มโนบาล (LISA) เคยถือกระเป๋า BOYY Helmet Bag ไปชมการแข่งขัน F1 Miami Grand Prix 2024 ที่ไมแอมี สหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนทำให้กระเป๋ารุ่นนี้ของ BOYY กลายเป็นกระแสไปทั่วโลก จากดีไซน์ที่แปลกใหม่ จนขายหมดสต๊อกอย่างรวดเร็ว
นอกจากอินไซต์ในการสร้างแบรนด์แฟชั่นของ BOYY แล้ว ยังมีอินไซต์จากแบรนด์แฟชั่นระดับโลกสัญชาติเอเชียอื่น ๆ อย่างแบรนด์ LIE SANGBONG ที่มีสูตรสำเร็จในการสร้างแบรนด์ที่แตกต่างจากแบรนด์ BOYY
เพราะ LIE SANGBONG เป็นแบรนด์แฟชั่นของดีไซเนอร์ชาวเกาหลีใต้ ที่ชื่อว่าคุณ Lie Sang Bong 
โดยเลือกใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ด้วยการตั้งฐานที่มั่นในประเทศของตัวเองให้ประสบความสำเร็จเสียก่อน
เพราะในช่วงเวลานั้น ดีไซเนอร์ชาวเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจากจีน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ต่างยังไม่ค่อยได้รับการยอมรับบนเวทีแฟชั่นระดับโลก เหมือนในทุกวันนี้
ส่วนอีกแบรนด์หนึ่ง ที่มาร่วมแชร์อินไซต์บนเวทีใน Session แรก ก็คือ Shanghai Tang แบรนด์แฟชั่นที่มีต้นกำเนิดจากฮ่องกง
เลือกใช้กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ ด้วยการชูจุดเด่นจากการเป็นแบรนด์แฟชั่นจากเอเชีย ที่เด่นด้านมรดกวัฒนธรรมอันเก่าแก่แบบเอเชีย นำเสนอด้วยกลิ่นอายความร่วมสมัย เป็นปัจจัยที่ทำให้ Shanghai Tang ประสบความสำเร็จ
Session 2 : Adapting to the New Luxury Landscape
การปรับตัวของแบรนด์หรู สู่ภูมิทัศน์ใหม่ของตลาด Luxury
ใน Session นี้ มีไฮไลต์อยู่ตรงที่การปรับตัวของแบรนด์หรู ในวันที่สภาพตลาด รวมถึงพฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคในตลาด Luxury เปลี่ยนแปลงไป
สรุปอินไซต์ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับแบรนด์หรู เป็นข้อ ๆ จากสปีกเกอร์แต่ละคน ได้แก่
1. พฤติกรรม และความต้องการของลูกค้าเปลี่ยนไป
คุณ Emmanuelle Kouakou ซึ่งเป็น Managing Director จาก Piaget Southeast Asia & Oceania พบว่า ในปัจจุบัน ลูกค้าของแบรนด์หรูต้องการประสบการณ์และความแตกต่าง 
นอกเหนือไปจากภาพลักษณ์ ความหรูหรา และคุณภาพ เพียงอย่างเดียว
2. แบรนด์หรู ไม่ได้เป็นสินค้าสำหรับคนมีรายได้สูงกลุ่มเดียวอีกต่อไป
คุณสุวดี พึ่งบุญพระ Chief Executive Officer และผู้ร่วมก่อตั้ง พีพี กรุ๊ป อธิบายอินไซต์ในข้อนี้ว่า ในอดีตกลุ่มลูกค้าของแบรนด์หรู คือคนที่มีรายได้สูง
แต่ปัจจุบัน แบรนด์หรูไม่ได้เป็นสินค้าของคนที่มีรายได้สูงเพียงกลุ่มเดียวอีกต่อไป แต่ยังมีกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น และที่สำคัญคืออายุของกลุ่มลูกค้าก็น้อยลงกว่าในอดีต
ส่วนในด้านการตลาด ก็ไม่ได้มีความสำคัญมากที่สุดอีกแล้ว เพราะลูกค้าแบรนด์หรูให้ความสำคัญกับประสบการณ์ คุณภาพ และคุณค่าที่แท้จริง มากกว่าเทรนด์ที่ได้รับการกระตุ้นด้วยการตลาด ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
3. แบรนด์แอมบาสเดอร์ เป็นปัจจัยสำคัญ ในการทำการตลาดของแบรนด์หรู
ในข้อนี้ เป็นอินไซต์จากคุณโอฬาร ปุ้ยพันธวงศ์ ซึ่งเป็น Chief Operating Officer, Chief Business Officer และผู้ร่วมก่อตั้ง พีพี กรุ๊ป
ที่พบว่า แบรนด์แอมบาสเดอร์ มีความสำคัญกับแบรนด์หรูมาก ๆ เพราะแบรนด์แอมบาสเดอร์จะช่วยทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จัก และยังถ่ายทอดภาพลักษณ์ที่แบรนด์ต้องการไปสู่กลุ่มลูกค้าได้
4. หน้าช็อป สำหรับแบรนด์หรูยังสำคัญ แม้จะมี E-Commerce ก็ตาม
ในข้อนี้เป็นอินไซต์จากสปีกเกอร์หลายท่าน ได้แก่
คุณสุวดี จากพีพี กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายแบรนด์หรูจากทั่วโลก มองว่าหน้าช็อปมีความสำคัญ เพราะโดยธรรมชาติของสินค้าพรีเมียม ลูกค้าย่อมต้องการหยิบจับ และสัมผัสตัวสินค้าก่อนที่จะซื้อ
ส่วนคุณ Roberta Pellacci ซึ่งเป็น Vice President Marketing and Communications จาก Bulgari Japan ก็มองว่าหน้าช็อปนั้นทำให้ลูกค้าของแบรนด์สามารถพิจารณาสินค้าจริง ๆ ได้ด้วยตัวเอง
นอกจากนี้หน้าช็อปยังมอบประสบการณ์ที่หน้าเว็บไซต์ E-Commerce ของแบรนด์ให้ไม่ได้ โดยเฉพาะในด้านการออกแบบสถาปัตยกรรมของแบรนด์ ที่มอบกลิ่นอายความเป็นอิตาลี ที่หน้าเว็บไซต์ไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน
ตัวอย่างของการมอบประสบการณ์ให้กับลูกค้าผ่านหน้าช็อปที่ชัดเจนที่สุด ก็คือ การจัดนิทรรศการ Eternally Reborn ของแบรนด์ Bulgari ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งจะมอบประสบการณ์ภายใต้คอนเซปต์ “การเกิดใหม่” ของแบรนด์
Session 3 : South East Asia’s Power of Global Influence
การเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดและ Impact ต่อ Community
ใน Session นี้ เปลี่ยนมูดจาก Session ก่อนหน้า เพราะเป็นการรวมตัวกันของเซเลบริตี และอินฟลูเอนเซอร์คนดัง ที่ได้รับการยอมรับในแวดวงแบรนด์หรูระดับโลก
ทั้งคุณใหม่ ดาวิกา โฮร์เน่ คนไทยคนแรกที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น Gucci Brand Ambassador และ Friend of Bulgari
คุณอาโป ณัฐวิญญ์ วัฒนกิติพัฒน์ ซึ่งเป็น House Ambassador ของแบรนด์ Dior และ Global Brand Ambassador ของแบรนด์ Piaget
และคุณ Heart Evangelista เซเลบริตีและนักแสดงชื่อดังจากประเทศฟิลิปปินส์ ที่มีผู้ติดตามใน Instagram มากกว่า 16 ล้านคน
ใน Session นี้ ว่าด้วยเรื่องการค้นหาความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในคำว่า Influence 
เพราะโดยปกติแล้วคำว่า Influence นั้น หากแปลแบบตรงตัว จะมีความหมายว่า การโน้มน้าว ชักจูง หรือการมีอิทธิพลต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
โดยเซเลบริตีคนแรกที่ให้คำนิยามต่อคำว่า Influence ก็คือ คุณ Heart ในฐานะเซเลบริตี เธอมองว่าการ Influence ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งตัวสวย ๆ แต่จริง ๆ แล้ว Influence หมายถึง การสื่อสารและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ 
ที่สำคัญคือ การทำหน้าที่ Influence ผู้คนของเธอ ยังนำความเป็น Artist ที่เธอมีอยู่ในตัว มาใช้ในการทำงาน โดยเฉพาะการสะท้อนตัวตนของเธอออกมาในทุกคอนเทนต์ 
โดยการ Influence ของเธอจะสร้างสิ่งที่เรียกว่า Community ซึ่งเป็นพื้นที่รวบรวมคนที่มีความชอบแบบเดียวกัน ผ่านการสื่อสารและการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนโดยรอบ
ส่วนคุณใหม่ ดาวิกา และคุณอาโป มีมุมมองต่อคำว่า Community ที่คล้ายกับคุณ Heart แต่จะหันโฟกัสไปที่บทบาทการเป็นนักแสดง ที่ใช้ความสามารถ และความพยายามในการทำงานอย่างหนัก รวมถึงการสื่อสารและปฏิสัมพันธ์กับแฟน ๆ อย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็น Community หรือแฟน ๆ ที่คอยสนับสนุนผลงานของทั้งสองคน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดใน Session นี้ คือการย้อนกลับไปตั้งคำถามกับบรรดาเซเลบริตีทุกท่านว่า จะสร้าง Impact ต่อ Community จากความ Influence ที่ตัวเองมีได้อย่างไร
การที่จะอธิบายประเด็นนี้ได้ดีที่สุด คงต้องยกคำตอบของเซเลบริตีแต่ละท่าน มาให้อ่านกัน
คุณอาโป มีมุมมองต่อประเด็นนี้ว่า การที่เขาได้ร่วมงานกับแบรนด์หรูระดับโลก เป็นการทำลายกำแพงข้อจำกัด (Break the Boundary) ทำให้เกิด Impact จากการเป็นฟันเฟืองชิ้นเล็ก ๆ ที่ทำให้โลกแฟชั่นเชื่อมต่อถึงกันได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางด้านพรมแดนอีกต่อไป
ในขณะที่ความ “ช่างเลือก” ของคุณอาโป ก็ทำให้เขาได้เลือกทำในสิ่งต่าง ๆ อย่างจริงจัง และตั้งใจ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในปลายทาง ก็คือการดึงดูดแฟนคลับที่มีความคิดแบบเดียวกันเข้ามาอยู่ใน Community นั่นเอง
ส่วนคุณใหม่ ดาวิกา มองว่าการสร้าง Impact ให้กับ Community ของเธอ อยู่ตรงที่การใช้ผู้ติดตามบน Instagram ที่มีกว่า 18 ล้านคน ไปกับสิ่งที่ถูกต้อง และสร้างพลังดี ๆ ส่งต่อให้คนอื่น ๆ
เช่นเดียวกับคุณ Heart ที่ให้ความสำคัญกับจำนวนผู้ติดตามที่เธอมีเช่นเดียวกับคุณใหม่ ดาวิกา 
โดยคุณ Heart มองว่า จำนวนผู้ติดตามที่เธอมีกว่า 16 ล้านคน เป็นเหมือนพรจากพระเจ้า ที่ทำให้เธอต้องการใช้พรจากพระเจ้านี้ ไปกับการทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
ทั้งหมดนี้ คืออินไซต์ที่น่าสนใจทั้งหมดของงาน WWD x SIAM PIWAT GLOBAL FASHION SPOTLIGHT ซึ่งเป็นงานสุดยอดเสวนาแฟชั่นครั้งใหญ่แห่งปี
ที่สะท้อนความเปลี่ยนแปลง และการปรับตัวของแวดวงแฟชั่นและแบรนด์หรู ให้เข้ากับพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา
#WWDXSIAMPIWAT #SiamPiwat #SiamParagon #ICONSIAM #GlobalFashionSpotlight #LuxuryFashion #FashionIcon
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.