เบทาโกร เปิดตัว S-Pure Prime เนื้อสัตว์แปรรูป “ซูเปอร์ พรีเมียม” ไม่แต่งเติมสารเคมี
25 ก.ค. 2023
ในปี 2566 มีการคาดการณ์ว่า ตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม ในประเทศไทย จะมีมูลค่าอยู่ที่ 57,100 ล้านบาท
จากปัจจัยการใช้จ่ายของผู้บริโภค ที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ประกอบกับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และภาคการท่องเที่ยว ที่มีแนวโน้มดีขึ้น
จากปัจจัยการใช้จ่ายของผู้บริโภค ที่ซื้อเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้น 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
ประกอบกับแรงหนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ และภาคการท่องเที่ยว ที่มีแนวโน้มดีขึ้น
รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ทั้งสุขภาพจิต และสุขภาพกาย เลือกรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ สะอาด มีความปลอดภัยสูง และการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และการบริโภคที่ยั่งยืน
ทำให้ในปีนี้ เบทาโกร ตัดสินใจเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่ชื่อว่า S-Pure Prime ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์แปรรูปสไตล์โฮมเมด ประกอบด้วย
- ไส้กรอกไก่เวียนนา
- เบคอนหมูรมควัน
- พอร์คลอยน์แฮมรมควัน
- โบโลญ่าหมู และโบโลญ่าไก่
- เบคอนหมูรมควัน
- พอร์คลอยน์แฮมรมควัน
- โบโลญ่าหมู และโบโลญ่าไก่
ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์แปรรูป ที่ใช้วัตถุดิบจากเนื้อหมู และเนื้อไก่ S-Pure 100% ปราศจากการเติมแต่งสารเคมี สารปรุงแต่ง สารกันบูด ผงชูรส และวัตถุเจือปนอาหาร
และนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์ อาหารฉลากสะอาด (Clean Label) รายแรกในประเทศไทย อีกด้วย
นอกจากนี้ S-Pure ยังได้ทำการปรับแพ็กเกจจิงใหม่ ที่รักษ์โลกมากขึ้น ด้วยการใช้บรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษ (Paper Tray) มาใช้กับกลุ่มสินค้าอาหารสด ได้แก่ เนื้อหมู และเนื้อไก่ เป็นแบรนด์แรกของไทย
โดยบรรจุภัณฑ์ถาดกระดาษนี้ ผลิตจากต้นยูคาลิปตัส มีที่มาจากป่าปลูก 100% ช่วยลดการใช้พลาสติกได้ราว 80%
รวมถึงเบทาโกร ยังได้เปิดตัวแคมเปญการตลาด “ถ้าวิถีธรรมชาติ คือทางของคุณ S-Pure No.1 Brand” เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภคเกี่ยวกับ S-Pure ว่าเป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวของไทย ที่ได้รับการรับรอง การเลี้ยงที่ไม่มียาปฏิชีวนะ (Raised Without Antibiotics - RWA) จาก NSF สหรัฐอเมริกา ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ คือ เนื้อหมู เนื้อไก่ และไข่ไก่
โดยมีภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ของ S-Pure ที่มุ่งเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ และมีไลฟ์สไตล์ ในการใช้ชีวิตเพื่อมีสุขภาพดี
โดยเบทาโกร วางเป้าหมายยอดขายของแบรนด์ S-Pure ให้เติบโต 17% เมื่อเทียบกับปี 2565
ด้วยส่วนแบ่งการตลาดเกิน 50% ในตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม ซึ่งมีคู่แข่งอื่น ๆ อยู่อีกราว 3 - 4 แบรนด์
ด้วยส่วนแบ่งการตลาดเกิน 50% ในตลาดอาหารซูเปอร์พรีเมียม ซึ่งมีคู่แข่งอื่น ๆ อยู่อีกราว 3 - 4 แบรนด์