MINT ประกาศกำไรสุทธิจำนวน 10,700 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 137 ในปี 2562
28 ก.พ. 2020
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (“MINT”) ประกาศกำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 10,698 ล้านบาทในปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 137 จากปี 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 4,508 ล้านบาท โดยการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างมีนัยสำคัญดังกล่าวเป็นผลมาจากการรวมงบการเงินของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป ผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง และกำไรจากการขายสินทรัพย์ สำหรับไตรมาส 4 ปี 2562 MINT มี กำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 3,768 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 569 จากในไตรมาส 4 ปี 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 563 ล้านบาท โดยการเติบโตอย่างแข็งแกร่งดังกล่าวเป็นผลมาจากผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกำไรจากการขายโรงแรมสามแห่งในประเทศมัลดีฟส์ในไตรมาส 4 ปี 2562 ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามกลยุทธ์การหมุนเวียนสินทรัพย์ของ MINT ทั้งนี้ หากไม่นับรวมรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว MINT มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตร้อยละ 23 ในปี 2562 และร้อยละ 53 ในไตรมาส 4 ปี 2562
ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 2,619 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2562 เพิ่มขึ้นร้อยละ 66 จากไตรมาส 4 ปี 2561 ซึ่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 1,580 ล้านบาท การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากกำไรอย่างมีนัยสำคัญจากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโรงแรมของไมเนอร์ โฮเทลส์ ส่วนอนันตรา เวเคชั่น คลับมีผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2562 ทั้งนี้ ไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงมุ่งสร้างเครือโรงแรมที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยมีโรงแรมเพิ่มขึ้น 27 แห่ง (3,582 ห้อง) ในปี 2562
ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 258 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2562 ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับกำไรสุทธิจากการดำเนินงานจำนวน 273 ล้านบาทในไตรมาส 4 ปี 2561 ไมเนอร์ ฟู้ดยังคงลงทุนในการพัฒนาความสามารถทางด้านดิจิทัล เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรับมือกับตลาดที่ชะลอตัวในอนาคต กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศไทยยกระดับความร่วมมือกับผู้ให้บริการจัดส่งอาหารรายอื่นเพื่อช่วยเสริมแพลตฟอร์มการจัดส่งอาหารของบริษัทเอง ควบคู่ไปกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ยอดขายต่อร้านเดิมมีแนวโน้มที่ดีขึ้นมาก นอกจากนี้ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่น่าตื่นเต้น โปรแกรมความภักดีผ่านช่องทางดิจิทัล และการร่วมมือทางธุรกิจกับ Uber Eats ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในประเทศออสเตรเลียมียอดขายต่อร้านเดิมที่เติบโตขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2562 ทั้งนี้ การพลิกฟื้นผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2562 รวมถึงการรวมงบการเงินของบอนชอนตั้งแต่กลางเดือนพฤศจิกายน ช่วยลดผลกระทบจากผลการดำเนินงานที่ชะลอตัวลงในตลาดอื่นๆ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของไมเนอร์ ฟู้ดมีสัญญาณการฟื้นตัว ด้วยการลดลงของกำไรสุทธิในอัตราที่ช้าลงในไตรมาส 4 ปี 2562 เมื่อเทียบกับไตรมาสอื่นในปี 2562
นอกเหนือจากการเพิ่มความแข็งแกร่งในผลการดำเนินงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของไมเนอร์ โฮเทลส์ MINT ยังคงมองหาโอกาสในการขายสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ ในไตรมาส 4 ปี 2562 MINT ขายเงินลงทุนในโรงแรมสามแห่งในประเทศมัลดีฟ ซึ่งได้แก่ โรงแรมอนันตรา เวลิ, อนันตรา ดิห์กู และ นาลาดู ไพรเวท ไอส์แลนด์ โดยเงินสดรับที่ได้จากการขายได้ถูกนำไปใช้ในการชำระคืนเงินกู้ที่มีอยู่เดิม ส่วนกำไรจากการขายสินทรัพย์จะช่วยเพิ่มฐานส่วนของผู้ถือหุ้น ส่งผลให้ MINT มีฐานะทางการเงินที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราส่วนหนี้สินส่วนที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงอยู่ที่ 1.3 เท่า ณ สิ้นปี 2562 การทำธุรกรรมดังกล่าวช่วยให้ MINT มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น ในขณะที่ MINT จะยังคงบริหารโรงแรมดังกล่าวต่อไป เป็นผลให้โรงแรมยังอยู่ภายใต้แบรนด์ของ MINT และ MINT จะยังคงได้รับรายได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรมต่อไป
ปี 2563 เริ่มต้นปีด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสถานการณ์ COVID-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวโน้มในการเดินทางและการท่องเที่ยว ทั้งนี้ MINT มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ซึ่งรวมถึงมาตราการการเพิ่มรายได้และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างเข้มงวด MINT คาดว่าสถานการณ์ COVID-19 จะเป็นเหตุการณ์เพียงชั่วคราว และธุรกิจที่หลากหลายของ MINT จะช่วยให้บริษัทอยู่ในฐานะที่จะได้รับประโยชน์เมื่อธุรกิจเริ่มมีการฟื้นตัว
ในปัจจุบัน การสร้างผลประโยชน์ร่วมกันจากการรวมธุรกิจเป็นหนึ่งในสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ไม่ว่าจะเป็นกับเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป บอนชอน หรือเบรดทอล์คในประเทศสิงคโปร์ นอกจากนี้ MINT จะยังคงผลักดันการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของช่องทางการเชื่อมต่อกับลูกค้าและภายในบริษัทเอง โดยผ่านการใช้การวิเคราะห์ข้อมูล เมื่อ MINT มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงินยังคงเป็นสิ่งที่ MINT ให้ความสำคัญ ด้วยแผนการดำเนินงานเหล่านี้ MINT จึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทาย และกลายเป็นบริษัทที่แข็งแกร่งและประสบความสำเร็จมากขึ้นยิ่งขึ้นได้ดังเช่นในอดีตที่ผ่านมา ส่วนการเติบโตในระยะยาว MINT มุ่งเน้นในการพิจารณาทบทวนธุรกิจเพื่อสร้างผลตอบแทนสูงสุด และจะดำเนินการขยายธุรกิจที่มีอยู่เดิม ลงทุนในธุรกิจใหม่ ขายสินทรัพย์ ปรับโครงสร้างสัดส่วนการถือหุ้น และหมุนเวียนสินทรัพย์ตามที่เหมาะสมข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท: บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) เป็นผู้นำในการดำเนินธุรกิจระดับสากล โดยประกอบ 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ MINT ดำเนินธุรกิจโรงแรมทั้งในรูปแบบเป็นเจ้าของเอง บริหารจัดการ และร่วมลงทุน โดยมีโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ทั้งสิ้น 535 แห่ง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช โฮเทลส์, นาว, เอเลวาน่า, แมริออท, โฟร์ซีซั่นส์, เซ็นต์ รีจิส, เรดิสัน บลู และโรงแรมในกลุ่มไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ใน 57 ประเทศในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา คาบสมุทรอินเดีย ยุโรป อเมริกาใต้ และอเมริกาเหนือ นอกจากนี้ MINT เป็นผู้นำในธุรกิจร้านอาหาร ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชีย โดยมีร้านอาหารกว่า 2,300 สาขา ใน 26 ประเทศ ภายใต้แบรนด์ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี, เดอะ คอฟฟี่ คลับ, ริเวอร์ไซด์, เบนิฮานา, ไทย เอ็กซ์เพรส, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เลอร์, แดรี่ ควีน และเบอร์เกอร์ คิง อีกทั้งยังเป็นผู้นำด้านการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์และรับจ้างผลิต ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภายใตแบรนด์ อเนลโล่, โบเดิ้ม, บอสสินี่, บรูคส์ บราเธอร์ส, ชาร์ล แอนด์ คีธ, เอสปรี, เอแตม, โจเซฟ โจเซฟ, โอวีเอส, แรทลีย์, สโกมาดิ, สวิลลิ่ง เจ. เอ. เฮ็งเคิลส์ และไมเนอร์ สมาร์ท คิดส์ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ www.minor.com