
ทำไม “ตัวร้ายในหนัง” ถึงไม่เคยใช้ผลิตภัณฑ์ของ Apple ?
1 ก.พ. 2023
เชื่อว่าคนที่กำลังจะเริ่มอ่านบทความนี้ คงจะต้องเคยผ่านประสบการณ์การดูหนัง ที่มีเนื้อเรื่องพลิกไปพลิกมา จนไม่รู้ว่า “ตัวร้ายจริง ๆ ของหนังคือใคร” กันมาบ้างสักครั้ง
แต่เชื่อหรือไม่ว่า เรื่องนี้.. มันมีวิธีสังเกตง่าย ๆ
แค่ดูโทรศัพท์มือถือที่ตัวละครใช้ เราก็จะสามารถบอกได้ทันทีว่า ตัวละครไหนไม่ใช่ตัวร้าย
แค่ดูโทรศัพท์มือถือที่ตัวละครใช้ เราก็จะสามารถบอกได้ทันทีว่า ตัวละครไหนไม่ใช่ตัวร้าย
นั่นก็เพราะตัวร้ายในหนัง จะไม่ใช้ iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple ให้เราเห็นอย่างแน่นอน..
แล้วที่มาที่ไปของเรื่องนี้เป็นอย่างไร ทำไมตัวร้ายในหนัง ถึงไม่ใช้สินค้าของ Apple ?
บทความนี้ MarketThink จะขออาสานำการตลาดสุดแยบยล ที่แทบจะไม่ต้องใช้เงินของ Apple มาสรุปให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ทุกวันนี้การโฆษณามันไม่ได้มีอยู่แค่ในช่วง “ก่อนเริ่มเนื้อหา” หรือ “คั่นระหว่างเนื้อหา” อีกแล้ว
แต่มันเข้าไปอยู่ “ในเนื้อหา” ด้วย ซึ่งการทำโฆษณารูปแบบนี้ เรียกว่า “Product Placement”
อธิบายง่าย ๆ ก็คือ การแทรกสินค้าหรือโลโกแบรนด์ เข้าไปอยู่ในเนื้อหาของซีรีส์และภาพยนตร์ แบบเนียน ๆ (หรือบางเรื่องก็อาจจะไม่เนียน)
เพื่อหวังการสร้างการรับรู้ และเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์
เพื่อหวังการสร้างการรับรู้ และเพิ่มยอดขายให้กับแบรนด์
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเลยก็คือ กรณีของ Subway ที่มักจะใช้กลยุทธ์แบบนี้ในซีรีส์เกาหลี
โดยให้ตัวละครมานั่งทานแซนด์วิชที่ดูน่าอร่อย เพื่อยั่วให้คนดูอย่างเรา อยากจะออกไปสั่ง Subway มากินเสียเดี๋ยวนั้น
ซึ่งก็แน่นอนว่าการทำ Product Placement แบบนี้ ทางแบรนด์เองก็ต้องจ่ายเงินจำนวนไม่น้อย ให้กับผู้สร้างหนังหรือซีรีส์ด้วย
เพราะคงไม่มีผู้สร้างหนังที่ไหน อยากมาลงโฆษณาให้แบรนด์แบบฟรี ๆ
เพราะคงไม่มีผู้สร้างหนังที่ไหน อยากมาลงโฆษณาให้แบรนด์แบบฟรี ๆ
ส่วนในกรณีของ Apple เอง ก็มีการนำวิธี “Product Placement” มาใช้ทำการตลาดให้กับแบรนด์ด้วยเช่นกัน
แต่ Apple มีแนวทางที่ชัดเจนว่า ห้ามตัวร้ายในหนัง ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เด็ดขาด..
แต่ Apple มีแนวทางที่ชัดเจนว่า ห้ามตัวร้ายในหนัง ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เด็ดขาด..
ทีนี้ คำถามคือ แล้ว Apple ยอมจ่ายเงินเยอะขนาดไหน
ถึงห้ามไม่ให้ตัวร้ายในหนัง ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้ ?
ถึงห้ามไม่ให้ตัวร้ายในหนัง ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้ ?
คำตอบคือ “แทบไม่ต้องใช้เงิน”
โดยเรื่องนี้มีที่มาจาก “คุณ Rian Johnson” ผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง Knives Out หนังแนวสืบสวน-คอเมดีชื่อดัง
ที่บอกว่าจริง ๆ แล้วทาง Apple มีข้อเสนอให้ทีมผู้สร้างหนัง สามารถนำอุปกรณ์ของ Apple มาเป็นพร็อปเข้าฉากได้ “แบบฟรี ๆ”
ที่บอกว่าจริง ๆ แล้วทาง Apple มีข้อเสนอให้ทีมผู้สร้างหนัง สามารถนำอุปกรณ์ของ Apple มาเป็นพร็อปเข้าฉากได้ “แบบฟรี ๆ”
แต่มีข้อแม้อย่างเดียวคือ “ห้ามไม่ให้ตัวร้ายในหนัง ใช้อุปกรณ์ของ Apple เด็ดขาด..”
ซึ่งข้อแม้ง่าย ๆ แบบนี้ ก็ทำให้ผู้กำกับหนังนั้น
แทบไม่ต้องลังเลที่จะนำพร็อปของ Apple มาใช้เลย
แทบไม่ต้องลังเลที่จะนำพร็อปของ Apple มาใช้เลย
เพราะอย่างน้อย “พร็อป” ก็เป็นหนึ่งในต้นทุนการสร้างหนัง ที่ยิ่งประหยัดได้มากเท่าไร ตัวหนังก็จะถึงจุดคุ้มทุนไวขึ้นเท่านั้น..
แล้ว Apple ได้อะไรจากเรื่องนี้ ?
อย่างแรกเลยก็คือ Apple จะได้พื้นที่โฆษณามหาศาล แทบจะแบบฟรี ๆ
จากการที่สินค้าของตัวเอง ไปปรากฏในภาพยนตร์ที่ออกฉายทั่วโลก
จากการที่สินค้าของตัวเอง ไปปรากฏในภาพยนตร์ที่ออกฉายทั่วโลก
แถมการที่ Apple ไม่ได้จ่ายเงินเพื่อทำ “Product Placement” อย่างจริงจัง
ยิ่งทำให้ผู้สร้างหนัง มีอิสระในการนำผลิตภัณฑ์ของ Apple ไปแทรกกับเนื้อหาหรือตัวละคร ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
อีกทั้งยังไม่ต้องมานั่งถ่ายหนัง โดยพยายามจัดองค์ประกอบภาพให้ติดสินค้าหรือโลโกเยอะ ๆ เพื่อเอาใจสปอนเซอร์
ยิ่งทำให้ผู้สร้างหนัง มีอิสระในการนำผลิตภัณฑ์ของ Apple ไปแทรกกับเนื้อหาหรือตัวละคร ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
อีกทั้งยังไม่ต้องมานั่งถ่ายหนัง โดยพยายามจัดองค์ประกอบภาพให้ติดสินค้าหรือโลโกเยอะ ๆ เพื่อเอาใจสปอนเซอร์
ส่งผลให้สินค้าของ Apple ที่ปรากฏในภาพยนตร์ มักจะดูมีความเป็นธรรมชาติ และไม่ดูขายของจนเกินงาม
อย่างต่อมาคือ “ภาพลักษณ์”
เพราะการที่ผลิตภัณฑ์ Apple จะถูกจัดให้ไปอยู่กับตัวละครที่เป็น “ฝ่ายดี” เท่านั้น
จึงส่งผลต่อ ภาพลักษณ์เชิงบวก ของแบรนด์
จึงส่งผลต่อ ภาพลักษณ์เชิงบวก ของแบรนด์
แถมนั่นหมายความว่า ทุกตัวละคร (ที่ไม่ใช่ตัวร้าย) เริ่มตั้งแต่ตัวเอกไปจนถึงตัวประกอบ จะสามารถถือสินค้าของ Apple ได้ทั้งหมด
ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นการเสริมภาพลักษณ์ ให้ผู้ชมรับรู้ว่าสินค้าของ Apple เป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับผู้คน เข้าถึงได้ง่าย และเป็นสินค้าที่ใช้ได้ในชีวิตประจำวันมากขึ้นด้วยนั่นเอง
จะเห็นได้ว่า ทั้งหมดที่กล่าวมา Apple แทบไม่ต้องใช้เงินเลย..
แต่ด้วยความที่ iPhone เป็นหนึ่งในสมาร์ตโฟนที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก
และถ้าใครอยากจะสร้างหนังให้สมจริง มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะนำ iPhone เข้ามาประกอบฉาก
และถ้าใครอยากจะสร้างหนังให้สมจริง มันก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะนำ iPhone เข้ามาประกอบฉาก
Apple ก็แค่ใช้ประโยชน์จากจุดนั้น.. แล้วนำมาสร้างการรับรู้ เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
ซึ่งก็อดคิดตามไม่ได้จริง ๆ ว่า ในเมื่อตัวร้ายในหนัง ไม่สามารถใช้ iPhone ได้
มันก็คงไม่มีสมาร์ตโฟนเครื่องไหนในโลก เหลือให้กับตัวร้ายในหนังใช้อีกแล้ว
มันก็คงไม่มีสมาร์ตโฟนเครื่องไหนในโลก เหลือให้กับตัวร้ายในหนังใช้อีกแล้ว
นอกจาก “สมาร์ตโฟน Android”
อ้างอิง:
-https://www.cnbc.com/2020/02/26/apple-wont-let-bad-guys-use-iphones-in-movies-says-knives-out-director.html
-https://www.howtogeek.com/832279/heres-why-youll-never-see-movie-villains-use-iphones/
-https://www.hollywoodreporter.com/tv/tv-news/modern-family-creator-explains-ipad-53367/
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2012-05-10/apple-the-other-cult-in-hollywood
-https://www.cnbc.com/2020/02/26/apple-wont-let-bad-guys-use-iphones-in-movies-says-knives-out-director.html
-https://www.howtogeek.com/832279/heres-why-youll-never-see-movie-villains-use-iphones/
-https://www.hollywoodreporter.com/tv/tv-news/modern-family-creator-explains-ipad-53367/
-https://www.bloomberg.com/news/articles/2012-05-10/apple-the-other-cult-in-hollywood