การปลดพนักงานของ Shopee กำลังเตือนอะไรเรา..
15 มิ.ย. 2022
เมื่อวันก่อนมีรายงานว่า Shopee กำลังดำเนินการปลดพนักงานบางส่วนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งในอินโดนีเซีย เวียดนาม รวมถึงไทย..
เรื่องนี้น่าสนใจ เพราะถ้าลองย้อนไปดูผลประกอบการภาพรวมของ Shopee
จะเห็นได้ว่าไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 13,322 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 113% เมื่อเทียบกับปีก่อน
จะเห็นได้ว่าไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 13,322 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 113% เมื่อเทียบกับปีก่อน
แล้วทำไมบริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอด แถมมีเงินทุนหนา ถึงต้องปลดพนักงาน ?
แล้วการปลดพนักงานในครั้งนี้ สามารถบอกอะไรเราได้บ้าง
แล้วการปลดพนักงานในครั้งนี้ สามารถบอกอะไรเราได้บ้าง
- นี่คือจุดเริ่มต้นของการ Layoff ครั้งใหญ่..
ด้วยปัญหาภาวะเงินเฟ้อในหลายประเทศ ประกอบกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กำลังกดดันซัปพลายเชนทั่วโลก ส่งผลให้ต้นทุนทุกอย่างสูงขึ้น โดยเฉพาะพลังงานและอาหาร
ส่งผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะทำให้ความต้องการและกำลังซื้อสินค้าของของผู้บริโภคลดลงไปด้วย
และในเมื่ออุปสงค์ในสินค้าเริ่มลดลง ผู้บริโภคเริ่มรัดเข็มขัด ประหยัดค่าใช้จ่าย
ก็แสดงให้เห็นว่าการสร้างรายได้เพิ่มของภาคธุรกิจ คงจะยากกว่าการลดค่าใช้จ่าย
ก็แสดงให้เห็นว่าการสร้างรายได้เพิ่มของภาคธุรกิจ คงจะยากกว่าการลดค่าใช้จ่าย
และการลดค่าใช้จ่ายที่ง่ายและเห็นผลได้เร็วที่สุด นอกจากการตัดงบโฆษณาแล้ว
ก็คงหนีไม่พ้นการ “เลิกจ้าง” พนักงาน..
รวมไปถึงชะลอการจ้างพนักงานใหม่
ก็คงหนีไม่พ้นการ “เลิกจ้าง” พนักงาน..
รวมไปถึงชะลอการจ้างพนักงานใหม่
ซึ่งเห็นได้จากเหล่าบริษัทชั้นนำ ที่เริ่มมีการปลดพนักงานในบางส่วนแล้ว ไม่ว่าจะเป็น
- Tesla รถยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตต่อเนื่องแบบทุบสถิติเกือบทุกไตรมาส
ยังแสดงความเห็นว่า พนักงานของพวกเขามีมากเกินไป และจะเริ่มมีการปลดพนักงานบางส่วนออก
ยังแสดงความเห็นว่า พนักงานของพวกเขามีมากเกินไป และจะเริ่มมีการปลดพนักงานบางส่วนออก
ซึ่ง Country Manager ของ Tesla ประจำสาขาสิงคโปร์ ก็คือคนที่โดยเลิกจ้างไปเมื่อไม่กี่วันก่อน..
- Meta ประกาศไม่รับคนเพิ่ม
- Netflix ปลดพนักงานราว 150 คน หลังจากที่มียอดผู้ใช้งานลดน้อยลง
- Coinbase แพลตฟอร์มซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่สุดในสหรัฐฯ ประกาศปลดพนักงานกว่า 18% หรือประมาณ 1,100 คน ออกจากบริษัท
อีกอย่างคือต้องยอมรับว่า ไม่ใช่แค่ปัญหาต้นทุนสูงขึ้นจากเงินเฟ้อเท่านั้น ที่เป็นสาเหตุให้หลายบริษัทต้องเริ่มลดพนักงาน
แต่การ “กลับมาสู่ภาวะปกติ” ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทที่โตระเบิดในช่วงโควิด ไม่ได้มีลูกค้าเท่าเดิมอีกแล้ว..
แต่การ “กลับมาสู่ภาวะปกติ” ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้บริษัทที่โตระเบิดในช่วงโควิด ไม่ได้มีลูกค้าเท่าเดิมอีกแล้ว..
ยกตัวอย่างเช่น Zoom แพลตฟอร์มประชุมออนไลน์ ที่เติบโตจากเทรนด์ WFH ทำให้มูลค่าบริษัทสามารถเติบโตได้ถึง 751% จนมูลค่าบริษัทพุ่งไปแตะ 5.5 ล้านล้านบาท
แต่พอทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ มูลค่าบริษัทก็ลดลงจนเหลือแค่ 1.1 ล้านล้านบาท หรือลดลง 80% จากจุดสูงสุด
แต่พอทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ มูลค่าบริษัทก็ลดลงจนเหลือแค่ 1.1 ล้านล้านบาท หรือลดลง 80% จากจุดสูงสุด
ซึ่งการระบาดของโควิด ก็มีส่วนให้ Shopee เติบโตไม่มากก็น้อย
ดังนั้นในเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ความต้องการใช้แอปของผู้ใช้งาน ก็อาจลดลงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการเริ่มลดพนักงานนั่นเอง..
ดังนั้นในเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ความต้องการใช้แอปของผู้ใช้งาน ก็อาจลดลงตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงเป็นที่มาของการเริ่มลดพนักงานนั่นเอง..
และแน่นอนว่าการ Layoff ของ Shopee ไม่ใช่ประเด็นเดียวที่ส่งสัญญาณเตือนเรา
- หรือศึกการแข่งกันเผาเงินทิ้ง กำลังจะจบ ?
ถึงแม้ว่าบริษัทแม่ของ Shopee ซึ่งก็คือ Sea Limited จะเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในหลาย ๆ ธุรกิจ
ไม่ว่าจะเป็นค่ายเกมออนไลน์อย่าง Garena, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และระบบการชำระเงินหลังบ้านอย่าง Sea Money ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตที่สดใส
ไม่ว่าจะเป็นค่ายเกมออนไลน์อย่าง Garena, แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่าง Shopee และระบบการชำระเงินหลังบ้านอย่าง Sea Money ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตที่สดใส
โดยกลยุทธ์ของ SEA ก็คืออาศัยความได้เปรียบจากทุนที่หนาของตัวเอง (ผ่านการจัดหาเงินทุนต่าง ๆ เช่น ระดมทุนจากนักลงทุน) เพื่อใช้ไปแข่งขันทางธุรกิจที่หลากหลาย ในแต่ละประเทศ
แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่แต่ละธุรกิจที่ Sea ไปลงทุนนั้น แทบจะเป็น Red Ocean หรือตลาดที่มีการแข่งขันดุเดือดเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้ต้องลงทุนสูงมากในการแย่งลูกค้ากับคู่แข่ง
เอาแค่ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ก็มีการแข่งขันแบบชนิดที่ว่าเหมือนเผาเงินทิ้งแข่งกัน เพราะถ้าหากลองดูรายได้ของบริษัทที่ลงมาเล่นในตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทย
จะเห็นได้ว่าในปี 2564 ทุกบริษัทต่างแทบจะขาดทุนทั้งหมด มีเพียง Lazada ที่เริ่มจะมีกำไรขึ้นมาบ้าง
จะเห็นได้ว่าในปี 2564 ทุกบริษัทต่างแทบจะขาดทุนทั้งหมด มีเพียง Lazada ที่เริ่มจะมีกำไรขึ้นมาบ้าง
Lazada 14,675 ล้านบาท กำไร 227 ล้านบาท
Shopee รายได้ 13,322 ล้านบาท ขาดทุน 4,973 ล้านบาท
JD Central รายได้ 7,443 ล้านบาท ขาดทุน 1,930 ล้านบาท
Shopee รายได้ 13,322 ล้านบาท ขาดทุน 4,973 ล้านบาท
JD Central รายได้ 7,443 ล้านบาท ขาดทุน 1,930 ล้านบาท
แต่หากนับรวมผลประกอบการ 3 ปี (พ.ศ. 2562 - 2564)
Lazada มีผลขาดทุนรวมกัน 7,469 ล้านบาท
Shopee มีผลขาดทุนรวมกัน 13,889 ล้านบาท
JD Central มีผลขาดทุนรวมกัน 4,649 ล้านบาท
Lazada มีผลขาดทุนรวมกัน 7,469 ล้านบาท
Shopee มีผลขาดทุนรวมกัน 13,889 ล้านบาท
JD Central มีผลขาดทุนรวมกัน 4,649 ล้านบาท
ซึ่งลำพังแค่การแข่งขันในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ก็ต้องใช้งบประมาณมาทุ่มตลาดมากมายอยู่แล้ว
แต่ Shopee ก็ยังมีการไปรุกกลุ่มธุรกิจที่ก็ Red Ocean ไม่แพ้กัน นั้นก็คือ แพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรี
ที่มีเจ้าตลาดอย่าง Grab, LINE MAN กำลังแย่งชิงลูกค้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ต่างจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
ที่มีเจ้าตลาดอย่าง Grab, LINE MAN กำลังแย่งชิงลูกค้ากันอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ต่างจากธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
โดยแพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรีของ Shopee ภายใต้แบรนด์ ShopeeFood ก็มีการอัดโปรโมชันอย่างหนักเพื่อดึงฐานผู้ใช้มาจากเจ้าตลาด
ตั้งแต่การเก็บค่า GP แค่ 5% ในขณะที่เจ้าอื่นเก็บประมาณ 30%
รวมไปถึงยังมีการให้ส่วนลดกับผู้ใช้งาน ชนิดที่ว่าบางออร์เดอร์สามารถซื้อในราคาที่ลดเกิน 50% เลยทีเดียว
ตั้งแต่การเก็บค่า GP แค่ 5% ในขณะที่เจ้าอื่นเก็บประมาณ 30%
รวมไปถึงยังมีการให้ส่วนลดกับผู้ใช้งาน ชนิดที่ว่าบางออร์เดอร์สามารถซื้อในราคาที่ลดเกิน 50% เลยทีเดียว
ซึ่งเมื่อเผาเงินทิ้งแล้วไม่เป็นผล “การยอมถอย” จึงเป็นทางเลือกที่ดูดีท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
โดย Shopee ในไทย ได้ปลดพนักงานในส่วนของ ShopeePay และ ShopeeFood มากถึงครึ่งหนึ่ง
สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งกันเผาเงินเล่นของเหล่าธุรกิจเหล่านี้ อาจจะกำลังจบลง
สะท้อนให้เห็นว่า การแข่งกันเผาเงินเล่นของเหล่าธุรกิจเหล่านี้ อาจจะกำลังจบลง
ซึ่งการยอมถอยของ Shopee ไม่ได้เกิดขึ้นในไทยเป็นประเทศแรก เพราะก่อนหน้านี้ Shopee ก็ได้มีการประกาศเลิกกิจการในฝรั่งเศส ทั้ง ๆ ที่เพิ่งดำเนินธุรกิจได้เพียง 5 เดือน
รวมไปถึงเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Shopee ได้ประกาศเลิกกิจการในอินเดีย โดยเลิกจ้างพนักงานกว่า 300 คนอีกด้วย..
และล่าสุด ก็มีรายงานว่า Shopee กำลังเตรียมถอยทัพออกจากประเทศสเปน
สุดท้ายนี้ ภาวะเงินเฟ้อและปัญหาการขาดแคลนทรัพยากร เป็นสิ่งที่กระทบกับทุกฝ่าย ตั้งแต่ผู้ประกอบการไปจนถึงผู้บริโภค และแน่นอนว่าปัญหาเงินเฟ้อ และสงคราม ก็ไม่ใช่ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตลอดไป
การเริ่ม Layoff พนักงานเป็นเพียงกลไลอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้วิกฤตินี้ไปสู่บทสรุปได้เร็วขึ้นเท่านั้น
และสุดท้ายเมื่อถึงจุดที่ต้นทุนเริ่มต่ำลงจากการลดค่าใช้จ่ายของภาคธุรกิจ และสถานการณ์หลาย ๆ อย่างเริ่มกลับสู่จุดปกติ
จะส่งผลให้สินค้าและบริการ อาจจะเริ่มปรับตัวลงมา จนทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อกลับมา ซึ่งหมายถึงอุปสงค์ที่มากขึ้น
จะส่งผลให้สินค้าและบริการ อาจจะเริ่มปรับตัวลงมา จนทำให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อกลับมา ซึ่งหมายถึงอุปสงค์ที่มากขึ้น
ซึ่งนั่นก็อาจจะนำมาสู่การเพิ่มกำลังการผลิตและการให้บริการ ของเหล่าธุรกิจทั้งหลาย จนนำมาสู่ “การจ้างงาน” อีกครั้ง ซึ่งเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบนั่นเอง..
อ้างอิง : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า