ทำไม โฆษณาตัวใหม่ของ MISTINE ถึงกลายเป็นกระแสตั้งแต่เปิดตัว
28 พ.ค. 2022
ไม่ใช่ทุกโฆษณา จะเป็นยาขมสำหรับคนดูเสมอไป
เพราะถ้าแบรนด์ทำโฆษณาออกมาได้น่าสนใจ ผู้ชมก็พร้อมจะเปิดใจรับชม
เพราะถ้าแบรนด์ทำโฆษณาออกมาได้น่าสนใจ ผู้ชมก็พร้อมจะเปิดใจรับชม
เหมือนกับโฆษณาตัวใหม่ของ MISTINE ที่ชื่อว่า #ฉายแสงทุกการเติบโต หลังจากเปิดตัว ก็กลายเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ทันที
เหตุผลที่หนังโฆษณาตัวนี้กลายเป็นที่พูดถึง ก็เพราะ MISTINE กล้าที่จะฉีกกรอบจากโฆษณาเครื่องสำอางแบบเดิม ๆ ที่ส่วนใหญ่เน้นเจาะกลุ่มวัยทำงาน มาขยี้ปมในใจคนรุ่นใหม่โดยเอาประสบการณ์ของทุกคนที่เคยผ่านช่วงวัยเรียน
ที่มักจะถูกตีกรอบว่า การแต่งหน้าในวัยเรียน เป็นพฤติกรรมที่ “แก่แดด”
ที่มักจะถูกตีกรอบว่า การแต่งหน้าในวัยเรียน เป็นพฤติกรรมที่ “แก่แดด”
โฆษณาตัวนี้ MISTINE มีวิธีการเล่าเรื่องที่น่าสนใจ
เปิดเรื่องด้วยคุณครูเดินสวนกับนักเรียนหญิง 3 คน ที่แต่งหน้ามาโรงเรียน จึงเรียกให้หยุด
เปิดเรื่องด้วยคุณครูเดินสวนกับนักเรียนหญิง 3 คน ที่แต่งหน้ามาโรงเรียน จึงเรียกให้หยุด
งานนี้ด้วยภาพลักษณ์ของคุณครู ที่ดูสูงวัย หัวโบราณ น้ำเสียงที่ดุดัน บวกกับในมือกำไม้เรียว
คงชวนให้หลายคนคิดว่า นักเรียนกลุ่มนี้จะต้องถูกต่อว่า เพราะแต่งหน้ามาโรงเรียนแน่ ๆ
คงชวนให้หลายคนคิดว่า นักเรียนกลุ่มนี้จะต้องถูกต่อว่า เพราะแต่งหน้ามาโรงเรียนแน่ ๆ
แต่โฆษณาตัวนี้กลับเซอร์ไพรส์ผู้ชมกลับ เพราะสิ่งที่คุณครูตำหนิ ไม่ใช่เพราะนักเรียนแต่งหน้ามาโรงเรียน
แต่เคืองที่นักเรียนแต่งหน้าได้ไม่เป๊ะ
แต่เคืองที่นักเรียนแต่งหน้าได้ไม่เป๊ะ
จนคุณครูต้องสวมวิญญาณบิวตีบล็อกเกอร์ สอนตั้งแต่วิธีเขียนคิ้วแบบเนเชอรัลลุค การเลือกลิปสติกสีแดงให้เข้ากับโทนสีผิว ไปจนถึงวิธีกรีดตาให้เนี้ยบ
เล่นเอาคนดูอมยิ้มตาม เพราะลีลาของคุณครู ราวกับบิวตีบล็อกเกอร์ตัวแม่ไม่พอ
ลีลาการ Tie-in สินค้ายังเป๊ะปัง ดูแล้วไม่ขัดหูขัดตา หรือรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดแม้แต่น้อย
ลีลาการ Tie-in สินค้ายังเป๊ะปัง ดูแล้วไม่ขัดหูขัดตา หรือรู้สึกเหมือนถูกยัดเยียดแม้แต่น้อย
ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ของโฆษณาตัวนี้ ที่ MISTINE ไม่ได้แค่ทำออกมาเพื่อหวังขายโปรดักต์
แต่สิ่งที่แบรนด์ต้องการสื่อสาร คือ “โรงเรียน คือ สถานที่แห่งการเรียนรู้”
แม้กฎระเบียบบางอย่างในโรงเรียน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
แต่ MISTINE เชื่อว่า ทุกคนก็มีสิทธิ์จะดูดีในแบบของตัวเอง และ MISTINE สนับสนุนให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเอง
แม้กฎระเบียบบางอย่างในโรงเรียน ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้
แต่ MISTINE เชื่อว่า ทุกคนก็มีสิทธิ์จะดูดีในแบบของตัวเอง และ MISTINE สนับสนุนให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเอง
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วทำไม จู่ ๆ MISTINE ถึงต้องลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ ?
ต้องบอกก่อนว่า MISTINE ไม่ได้เพิ่งมาจับเทรนด์เรื่องความสวยแบบไม่ต้องตามพิมพ์นิยม
แต่ MISTINE มีความเชื่อมาตลอดว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะมีความต้องการแบบไหนก็ตาม ก็สามารถสวย และสมบูรณ์แบบในแบบที่ตัวเองต้องการได้
แต่ MISTINE มีความเชื่อมาตลอดว่า ไม่ว่าผู้หญิงจะมีความต้องการแบบไหนก็ตาม ก็สามารถสวย และสมบูรณ์แบบในแบบที่ตัวเองต้องการได้
ซึ่งก็สอดคล้องกับนิยามความงามของคนในยุคนี้ที่มองว่า มาตรฐานความสวยของคนยุคนี้ ไม่ต้องเป็นไปตาม Beauty Standard ทุกคนสามารถดูดีในแบบของตัวเองได้
จึงกลายเป็นที่มาของการรีแบรนด์ภายใต้คอนเซปต์ “I’M PERFECTLY ME” ของ MISTINE เมื่อปีที่แล้ว
ประเดิมด้วยแคมเปญ “ฉัน มั่น หน้า” ที่ต้องบอกว่าน่าสนใจ และกลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์เช่นกัน
ประเดิมด้วยแคมเปญ “ฉัน มั่น หน้า” ที่ต้องบอกว่าน่าสนใจ และกลายเป็นกระแสทอล์กออฟเดอะทาวน์เช่นกัน
เพราะหนึ่งในภาพจำของคนไทย เวลานึกถึง MISTINE ถ้าไม่ใช่วลีติดหูอย่าง “MISTINE มาแล้วค่ะ”
ก็ต้องนึกถึงภาพเหล่านางเอกตัวท็อปของประเทศ ที่ MISTINE มักเลือกใช้เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์
ก็ต้องนึกถึงภาพเหล่านางเอกตัวท็อปของประเทศ ที่ MISTINE มักเลือกใช้เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์
แต่ในเมื่อยุคสมัยเปลี่ยน MISTINE ก็พร้อมปรับกลยุทธ์ทางการตลาด เพื่อตอกย้ำความเชื่อของแบรนด์ที่คนเราไม่จำเป็นต้องสวยเหมือนใคร
ด้วยการเลือกใช้นางแบบเป็นผู้หญิงหลาย ๆ คน ที่มีใบหน้าและสีผิวที่หลากหลาย
เพื่อให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจในตัวเอง และภูมิใจในใบหน้าของตัวเอง
เพื่อให้ทุกคนรู้สึกมั่นใจในตัวเอง และภูมิใจในใบหน้าของตัวเอง
มาถึงปีนี้ MISTINE ยังคงสานต่อแนวคิด “I’M PERFECTLY ME” ผ่านแคมเปญใหม่ #ฉายแสงทุกการเติบโต
ที่เลือกเสียดสีสังคมไทย ด้วยการขยี้ Pain Point ที่หลายคนเคยเจอ นั่นคือ กฎเหล็กของโรงเรียนที่ห้ามแต่งหน้า
ซึ่ง MISTINE ฉลาดในการสื่อสาร เพราะไม่ได้ตัดสินว่า สุดท้ายแล้วการแต่งหน้าไปโรงเรียนเป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
เพราะเรื่องแบบนี้ ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองที่แตกต่างของแต่ละคน
เพราะเรื่องแบบนี้ ก็ขึ้นอยู่กับมุมมองที่แตกต่างของแต่ละคน
ในมุมของผู้ใหญ่ อาจจะมองว่า วัยรุ่นน่ารักสมวัยได้โดยไม่จำเป็นต้องแต่งแต้ม
ส่วนวัยรุ่นที่เริ่มรักสวยรักงาม อาจจะคิดต่าง มองว่าการแต่งหน้าเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองดูดีขึ้น ซึ่งในชีวิตประจำวัน หลายคนก็เริ่มแต่งหน้าเวลาไปเที่ยว หรือไปงานแต่งงานอยู่แล้ว
แต่กลายเป็นว่า เวลามาโรงเรียน กลับไม่สามารถทำได้
แต่กลายเป็นว่า เวลามาโรงเรียน กลับไม่สามารถทำได้
ดังนั้น สิ่งที่แบรนด์พยายามจะสื่อสารก็คือ ในเมื่อสังคมทุกวันนี้เปิดกว้าง ให้เด็ก ๆ มีความคิดของตัวเอง
ทำไม การแต่งหน้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ถึงต้องถูกตีกรอบ
ทำไม การแต่งหน้าเพื่อเพิ่มความมั่นใจ ถึงต้องถูกตีกรอบ
จะดีกว่าไหม แทนที่คุณครูจะทำหน้าที่แค่สอนหนังสือ คุณครูอาจจะมอบทักษะการใช้ชีวิต อย่างการสอนแต่งหน้า เพื่อปูทางให้เด็ก ๆ พร้อมเติบโตสู่โลกภายนอกอย่างมั่นใจในทุกโอกาส
มาถึงตรงนี้ คงหายข้องใจแล้วว่า ทำไมโฆษณาตัวใหม่ของ MISTINE จึงกลายเป็นกระแสในชั่วข้ามคืน
สิ่งที่น่าชื่นชม คือ การทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงเล็ก ๆ ของแบรนด์ในการสื่อสารไปยังสังคม
เริ่มจากประเด็นใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม
เริ่มจากประเด็นใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม
ใครจะรู้ว่า การแต่งหน้าตั้งแต่วัยเรียน อาจทำให้เด็กบางคนค้นพบแพสชันของตัวเอง และเติบโตไปในเส้นทางที่รัก
อย่างการเป็นช่างแต่งหน้า, บิวตีบล็อกเกอร์ หรือบางคนอาจจะอินกับเครื่องสำอาง จนนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจก็ได้
อย่างการเป็นช่างแต่งหน้า, บิวตีบล็อกเกอร์ หรือบางคนอาจจะอินกับเครื่องสำอาง จนนำไปต่อยอดเป็นธุรกิจก็ได้
สุดท้ายนี้ ถ้าถามว่า แล้วทำไม MISTINE ต้องเล่นใหญ่เบอร์นี้
คำตอบก็เพราะ MISTINE ไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นแค่แบรนด์เครื่องสำอางที่อยู่คู่คนไทยมานานถึง 34 ปี
แต่จุดแข็งของ MISTINE คือ การเป็นแบรนด์ที่พร้อมปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่เสมอ
แต่จุดแข็งของ MISTINE คือ การเป็นแบรนด์ที่พร้อมปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่เสมอ
ถ้าย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของแบรนด์เมื่อปี 2531 MISTINE เริ่มต้นจาก ธุรกิจขายตรง
แต่เมื่อโลกธุรกิจเปลี่ยนไป ธุรกิจขายตรง ก็หันมาปรับตัวเรื่องสินค้า ช่องทางการขาย และการสื่อสาร
แต่เมื่อโลกธุรกิจเปลี่ยนไป ธุรกิจขายตรง ก็หันมาปรับตัวเรื่องสินค้า ช่องทางการขาย และการสื่อสาร
เพราะอย่าลืมว่า ตลาดของ MISTINE ไม่ได้มีแค่ในประเทศ แต่ยังขยายไปในระดับสากล
โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งแม้จะมีกำลังซื้อสูง แต่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่ง รวมทั้งแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก
โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งแม้จะมีกำลังซื้อสูง แต่ก็เต็มไปด้วยคู่แข่ง รวมทั้งแบรนด์เครื่องสำอางระดับโลก
จนทำให้ MISTINE เองก็ต้องปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดที่กำลังเติบโต และแข่งขันกันอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ด้วยการปรับวิธีเป็นลักษณะแบบ Startup ซึ่งมีการระดมทุนปัจจุบันอยู่ใน Series A
ด้วยการปรับวิธีเป็นลักษณะแบบ Startup ซึ่งมีการระดมทุนปัจจุบันอยู่ใน Series A
ทั้งหมดนี้คือ เบื้องหลังการปั้นแบรนด์เครื่องสำอางของไทย ที่น่าจับตามอง
เพราะนอกจากจะโดดเด่นเรื่องการปรับตัว จนครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน และยังไปบุกตลาดโลกได้อย่างท็อปฟอร์ม
ที่น่าประทับใจ คือ ยังไม่ละเลยบทบาทของแบรนด์ที่ดี ในการเป็นกระบอกเสียงเล็ก ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับสังคม
เพราะนอกจากจะโดดเด่นเรื่องการปรับตัว จนครองใจคนไทยมาอย่างยาวนาน และยังไปบุกตลาดโลกได้อย่างท็อปฟอร์ม
ที่น่าประทับใจ คือ ยังไม่ละเลยบทบาทของแบรนด์ที่ดี ในการเป็นกระบอกเสียงเล็ก ๆ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกให้กับสังคม
ใครที่อ่านจบแล้ว อยากรู้ว่าโฆษณาตัวใหม่ของ MISTINE เป็นอย่างไร ดูกันได้เลย