ทำไม คนรุ่นใหม่ ถึงอยากให้แบรนด์ เป็นกระบอกเสียงของสังคม ?
9 พ.ค. 2022
เมื่อไม่นานมานี้ มีกระแสที่แบรนด์ยาสระผมอย่าง Dove ในเครือบริษัท Unilever ทุ่มเงินซื้อโฆษณาหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ 1 หน้าเต็ม ๆ
เพื่อบอกเล่าถึงประเด็นของ เด็กหญิงที่โดนบังคับให้ตัดผม ว่าพวกเขาโดนตัดไปแค่ผม จริงหรือ ?
พร้อมกับแฮชแทก #LetHerGrow
พร้อมกับแฮชแทก #LetHerGrow
ซึ่งก็ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งในแง่บวก และแง่ลบ
บ้างก็ชื่นชมที่ Dove กล้าที่จะออกมาเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กหญิงทั่วประเทศ ถึงการเคารพสิทธิ และไม่ควรตัดความมั่นใจของเด็กไป
บ้างก็ชื่นชมที่ Dove กล้าที่จะออกมาเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กหญิงทั่วประเทศ ถึงการเคารพสิทธิ และไม่ควรตัดความมั่นใจของเด็กไป
บ้างก็บอกว่าระบบ (ของระเบียบการศึกษาไทย) นั้นคิดมาดี และมีเหตุผลแล้วที่ทำแบบนี้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่แบรนด์ Dove ออกมาทำ ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่ได้ใจคนรุ่นใหม่ไปเต็ม ๆ หรือแม้แต่รุ่นเก๋าบางกลุ่ม ก็ยังเห็นด้วยกับการเคารพสิทธิส่วนบุคคล
โดยนอกจากหนังสือพิมพ์ 1 หน้ากระดาษที่แชร์กันไปทั่วแล้ว ก็ยังมีวิดีโอประชาสัมพันธ์แคมเปญของ Dove เองด้วย ซึ่งมียอดวิวบน YouTube ถึง 3.4 ล้านครั้ง หลังจากลงไปได้ 4 วัน
รวมถึงการโพสต์รูปหนังสือพิมพ์ 1 หน้าบนทวิตเตอร์ของคุณเศรษฐา ทวีสิน CEO ของแสนสิริ ที่เป็นจุดกำเนิดของไวรัลในโลกออนไลน์ ก็มียอดรีทวีตกว่า 60,600 ครั้งแล้ว
เรื่องนี้ จะเห็นได้ชัดว่ามีคนจำนวนมากที่รู้สึก “ขอบคุณแบรนด์ที่ออกมาพูดเรื่องนี้”
เพราะลำพัง ถ้าคนตัวเล็ก ๆ ในสังคมออกมาพูด ก็ถือว่ายากที่จะเกิดผลกระทบ และการรับรู้เป็นวงกว้างอย่างเช่นที่ Dove ทำ
ซึ่งก็ตีความได้ว่า ในปัจจุบัน “แบรนด์” ถือเป็นอีกกระบอกเสียงสำคัญ ที่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้จริง
โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีก้าวไกล ประเด็นทางสังคมไม่ได้จำกัดอยู่ในวงแคบหรือคนบางกลุ่มอีกต่อไป
คนรุ่นใหม่จึงยิ่งคาดหวังให้แบรนด์ เข้ามามีส่วนร่วมในประเด็นทางสังคมมากขึ้น
คนรุ่นใหม่จึงยิ่งคาดหวังให้แบรนด์ เข้ามามีส่วนร่วมในประเด็นทางสังคมมากขึ้น
เรื่องนี้มีข้อมูลส่วนหนึ่งจากหนังสือ Marketing 5.0 ที่พูดถึงทัศนคติของคน Gen Z
ที่เกิดระหว่างปี 1997-2009 (อายุระหว่าง 13-25 ปี)
ที่เกิดระหว่างปี 1997-2009 (อายุระหว่าง 13-25 ปี)
บอกไว้ว่า คน Gen Z จะชอบแบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
และเชื่อว่าพลังแห่งการตัดสินใจเลือกแบรนด์ของพวกเขา จะสามารถกดดันให้ธุรกิจเพิ่มแนวทางต่าง ๆ ที่สร้างความยั่งยืนได้
และเชื่อว่าพลังแห่งการตัดสินใจเลือกแบรนด์ของพวกเขา จะสามารถกดดันให้ธุรกิจเพิ่มแนวทางต่าง ๆ ที่สร้างความยั่งยืนได้
คำถามคือ แล้วทำไมคน Gen Z จึงมีทัศนคติเช่นนี้ ?
นั่นก็เพราะคน Gen Z ถือเป็นคนรุ่นพิเศษ ที่สามารถติดต่อกับโลกภายนอก รับรู้ปัญหาและประเด็นทางสังคมได้ง่าย จากข้อมูลหลายแหล่งทั่วทั้งโลก ตั้งแต่พวกเขายังเด็ก
เนื่องจากคนรุ่นนี้ เกิดมาในยุคที่มีสิ่งปฏิวัติวงการการสื่อสารโลกที่ชื่อว่า Facebook ก่อกำเนิดขึ้นในปี 2004
และ Twitter ในปี 2006 ก่อนที่จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา
และ Twitter ในปี 2006 ก่อนที่จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา
นอกจากนั้นคน Gen Z ยังถือเป็น Gen ที่คุ้นเคยกับโลกโซเชียลมีเดีย และได้ใช้สมาร์ตโฟนเล่นอินเทอร์เน็ต เป็นรุ่นแรก เพราะอย่างมือถือไร้ปุ่มกดที่สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้อย่าง iPhone ของบริษัท Apple ก็ถูกเปิดตัวในปี 2007
เห็นแบบนี้ เราคงเข้าใจกันแล้วว่า คน Gen Z เกิดมาบนยุคดิจิทัล ที่มีสังคม และโลกที่กว้างกว่าคนยุคก่อนตั้งแต่อายุยังน้อย
ดังนั้น การที่พวกเขาเกิดมาในยุคที่มีสมาร์ตโฟนเป็นอวัยวะที่ 33 ของร่างกาย และมีการใช้งานอินเทอร์เน็ตที่แพร่หลาย
ทำให้พวกเขาตระหนัก และรับรู้ประเด็นทางสังคมมากมายทั่วทุกมุมโลก
ทำให้พวกเขาตระหนัก และรับรู้ประเด็นทางสังคมมากมายทั่วทุกมุมโลก
ทั้งทางด้านสิ่งแวดล้อม การเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ และสีผิว
รวมถึงการรับค่านิยม และอิทธิพลในการใช้ชีวิตจากทุกสารทิศ
รวมถึงการรับค่านิยม และอิทธิพลในการใช้ชีวิตจากทุกสารทิศ
แน่นอนว่าพื้นฐานเหล่านี้ ทำให้กลุ่มคน Gen Z สนใจในจุดยืนของแบรนด์บนโลกออนไลน์ด้วย และจะยิ่งรู้สึกดี และอยากสนับสนุน หากแบรนด์เหล่านั้นเข้ามาร่วมเป็นอีกหนึ่งแรงขับเคลื่อน ที่ทำให้สังคมดีขึ้น
ซึ่งก็มีผลสำรวจจาก MNI บริษัทวางกลยุทธ์สื่อ ที่บอกว่ากลุ่มคน Gen Z มากกว่าครึ่ง เผยว่าแบรนด์ที่อุทิศตัวเพื่อสร้างผลกระทบในเชิงบวกต่อสังคม คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และมีค่านิยมที่สร้างสรรค์
นับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของพวกเขา
นับเป็นปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อของพวกเขา
และปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ความรู้สึกที่ต้องการให้แบรนด์ ออกมาร่วมสร้างผลกระทบนั้น จะทำให้คน Gen Z รู้สึก “สนิทกับแบรนด์มากยิ่งขึ้น”
คล้าย ๆ กับเวลาที่เพื่อนไปไหน แล้วเราไปด้วย
หรือเมื่อเพื่อนมีปัญหาอะไร เพื่อนที่ดีก็ควรจะยื่นมือเข้ามาช่วย
หรือเมื่อเพื่อนมีปัญหาอะไร เพื่อนที่ดีก็ควรจะยื่นมือเข้ามาช่วย
หากมาดูในมุมของแบรนด์ ก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน ที่จะขายของอย่างเดียว โดยไม่คำนึงถึงปัญหาทางสังคมที่เกิดขึ้นเลย
แล้วบอกแค่เพียงว่า แบรนด์มีหน้าที่ให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่เท่านั้น
แล้วบอกแค่เพียงว่า แบรนด์มีหน้าที่ให้บริการลูกค้าอย่างเต็มที่เท่านั้น
เพราะในปี 2020 กลุ่มคน Gen Z คิดเป็นกว่า 40% ของผู้บริโภครุ่นใหม่
หรือพูดง่าย ๆ คือ กลุ่มลูกค้ากำลังค่อย ๆ เปลี่ยน Gen นั่นเอง
หรือพูดง่าย ๆ คือ กลุ่มลูกค้ากำลังค่อย ๆ เปลี่ยน Gen นั่นเอง
ซึ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ก็กำลังต้องการบางสิ่งบางอย่างจากแบรนด์ นอกจากสินค้าและบริการ
อีกทั้งยังมีในเรื่องวิวัฒนาการของการสร้างแบรนด์ ที่สังเกตได้ว่าหลัง ๆ มานี้ แบรนด์ส่วนมาก จะพยายามวางภาพลักษณ์ให้เป็นมิตร และเข้าถึงง่าย
ซึ่งก็จะมีการใช้โซเชียลมีเดียทุกช่องทาง ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายโดยตรง จากที่เมื่อก่อนอยู่แค่บนป้ายบิลบอร์ด และจอโทรทัศน์เท่านั้น
แล้วบางแบรนด์ ก็กำหนดจุดยืนว่า ตนเองจะเป็น “เพื่อน” ที่คอยอยู่เคียงข้างกับลูกค้า ซึ่งแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกดี และรู้สึกไว้วางใจในตัวแบรนด์
แต่หากว่า ถ้าถึงเวลาที่เพื่อนทั้งประเทศ กำลังมีปัญหา
เพื่อน (แบรนด์) จะตอบสนองต่อปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ?
เพื่อน (แบรนด์) จะตอบสนองต่อปัญหาเหล่านั้นอย่างไร ?
ในทางกลับกัน เราก็เคยเห็นกันมาแล้ว ที่บางแบรนด์ตัดสินใจแสดงความเห็นในประเด็นที่อ่อนไหว แต่โดนโจมตีกลับอย่างรุนแรง จนถึงขั้นเกิดการ “แบน” แบรนด์นั้นกันไปเลยทีเดียว
หรือบางแบรนด์ ก็ตัดสินใจถอดพรีเซนเตอร์ ที่ออกมาพูดหรือเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่งก็ได้รับทั้งกระแสเชิงบวก เพราะคนกลุ่มหนึ่งที่บอกว่า “แบรนด์ควรจะเป็นกลาง”
และกระแสเชิงลบ ที่บอกว่า “แบรนด์ควรจะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนสังคม ไปในทางที่ดี”
ทั้งนี้ การตัดสินใจดังกล่าวของแบรนด์ ขึ้นอยู่กับว่า
1. ลูกค้าของแบรนด์เป็นใคร
2. ประเด็นทางสังคมที่ว่า เป็นเรื่องอะไร
3. ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างผลกระทบที่ดีที่สุด และแย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
1. ลูกค้าของแบรนด์เป็นใคร
2. ประเด็นทางสังคมที่ว่า เป็นเรื่องอะไร
3. ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีระหว่างผลกระทบที่ดีที่สุด และแย่ที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
มันจึงกลายเป็นประเด็นที่แบรนด์เอง ก็น่าจะลำบากใจไม่น้อยในการตัดสินใจที่จะเข้าร่วมเป็นกระบอกเสียงเพื่อแก้ปัญหาทางสังคม
เพราะถ้าแบรนด์เข้าใจไม่หมด สื่อสารไม่ตรงจุด ก็อาจเป็นสิ่งที่ทำให้สังคมตีกลับ แล้วกลายเป็นผลเสีย แทนผลดีได้
นอกจากนี้ แบรนด์ยังจำเป็นต้องคิดแคมเปญเพื่อแก้ปัญหาทางสังคมสักอย่าง บนหมายเหตุตัวใหญ่ ๆ เสมอว่า “มีคนรัก ย่อมมีคนเกลียด” เป็นเรื่องธรรมดาของทุกสิ่งบนโลกใบนี้
เพราะมันไม่เคยมีสิ่งใดหรือใคร ที่ถูกต้อง 100% เลยบนโลกใบนี้..
อ้างอิง:
-https://www.youtube.com/watch?v=ufhfU-ZmEQI
-https://www.mni.com/blog/research/gen-z-consumers-expect-brands-to-speak-on-social-issues-now/
-https://www.globenewswire.com/news-release/2018/05/08/1498624/0/en/MNI-Targeted-Media-Releases-Data-to-Help-Marketers-Win-Gen-Z-ers.html
-https://www.youtube.com/watch?v=ufhfU-ZmEQI
-https://www.mni.com/blog/research/gen-z-consumers-expect-brands-to-speak-on-social-issues-now/
-https://www.globenewswire.com/news-release/2018/05/08/1498624/0/en/MNI-Targeted-Media-Releases-Data-to-Help-Marketers-Win-Gen-Z-ers.html