กรุงไทย ประเมิน ยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในไทย จะแตะล้านคัน ในปี 2571 ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด
17 มิ.ย. 2021
ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาด COVID-19 พ่นพิษต่อเศรษฐกิจทั่วโลกจนเข้าสู่ภาวะถดถอย แต่ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า กลับเติบโตอย่างก้าวกระโดด
สะท้อนจากยอดขายยานยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกที่สูงถึง 3.2 ล้านคัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 43%
เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มียอดจดทะเบียนสูงถึง 3 หมื่นคัน หรือขยายตัวถึง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สวนทางยอดขายรถยนต์รวม ที่ลดลง 21%
เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มียอดจดทะเบียนสูงถึง 3 หมื่นคัน หรือขยายตัวถึง 13% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
สวนทางยอดขายรถยนต์รวม ที่ลดลง 21%
“เราเริ่มเห็นการตื่นตัวจากภาครัฐในต่างประเทศ ในการแก้ไขประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมตามข้อตกลงปารีส
โดยเฉพาะนโยบายยกเลิกการขายยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม
โดยเฉพาะนโยบายยกเลิกการขายยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเป็นรูปธรรม
เช่นเดียวกับการปรับตัวของผู้ผลิตชั้นนำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ที่หันไปทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ตลอดจนความสนใจของผู้บริโภคเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าที่มากขึ้นกว่าแต่ก่อน
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้จำนวนยานยนต์ไฟฟ้าสะสมทั่วโลก มีโอกาสแตะระดับ 25 - 45 ล้านคัน ได้ภายในปี 2573 จาก 10 ล้านคันในปัจจุบัน”
สำหรับประเทศไทยนั้น ด้วยยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศ ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่เพียง 1.9 แสนคัน หรือคิดเป็น 1% ของยานยนต์ทั้งหมด
ถือว่ายังมีขนาดเล็กและอยู่ในช่วงเริ่มต้น เมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำอื่น ๆ
ถือว่ายังมีขนาดเล็กและอยู่ในช่วงเริ่มต้น เมื่อเทียบกับประเทศชั้นนำอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี ข้อได้เปรียบของไทยในการเป็นฐานผลิตยานยนต์เครื่องยนต์ ICE แบบดั้งเดิมมาอย่างยาวนาน
ประกอบกับกลยุทธ์การทำตลาดของผู้ผลิตยานยนต์ OEM ในประเทศที่ยังคงเน้นทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ตามบริษัทแม่ในญี่ปุ่น
ประกอบกับกลยุทธ์การทำตลาดของผู้ผลิตยานยนต์ OEM ในประเทศที่ยังคงเน้นทำตลาดยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ตามบริษัทแม่ในญี่ปุ่น
จะเป็นส่วนเสริมให้ยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าสะสมในประเทศ มีโอกาสแตะ 1 ล้านคัน ได้ในปี 2571 หรือขยายตัวเฉลี่ยราว 24% ต่อปี
จากยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 93% ของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด
จากยอดใช้ยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริด ที่คาดว่าจะมีสัดส่วนสูงถึง 93% ของยานยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด
ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ชี้ว่ามาตรการภาครัฐที่สนับสนุนทั้งผู้ผลิต ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค
จะเป็นส่วนสำคัญให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย มีโอกาสต่อยอดเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่แข็งแกร่งของภูมิภาคในอนาคตต่อไป
จะเป็นส่วนสำคัญให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทย มีโอกาสต่อยอดเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดที่แข็งแกร่งของภูมิภาคในอนาคตต่อไป
การเป็นฐานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าไฮบริดของไทย นอกจากจะช่วยรักษาตลาดผู้ผลิตในกลุ่มเครื่องยนต์ ICE ในประเทศ รวมถึงห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องในระยะปานกลางแล้ว
ยังส่งผลดีต่อผู้ผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้า ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และผู้ผลิตวัสดุน้ำหนักเบาและแข็งแรงอีกด้วย
อย่างไรก็ดี ในระยะยาวที่สัดส่วนยานยนต์ปราศจากการปล่อยมลพิษ (Zero Emission Vehicle) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัย ตามเมกะเทรนด์ที่กำลังเดินหน้าไปสู่เศรษฐกิจพลังงานสะอาด (Green Economy)
ย่อมจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนในกลุ่ม Powertrain และ Engine ซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงถึงเกือบ 3 แสนล้านบาท หรือประมาณ 20% ของรายได้ของผู้ผลิตชิ้นส่วนในตลาดทั้งหมด