เดนทิสเต้ แย้มเปิดตัวผลิตภัณฑ์จาก “กัญชง” ในปีนี้ พร้อมเผย 3 กลยุทธ์การตลาด
9 ก.พ. 2021
วิกฤติโควิด 19 อาจจทำให้หลายธุรกิจซบเซา
แต่รู้ไหมว่า กลับเป็นตัวเร่งให้ตลาดยาสีฟัน ยิ่งร้อนแรง จาก 3 เหตุผลใหญ่ๆ
แต่รู้ไหมว่า กลับเป็นตัวเร่งให้ตลาดยาสีฟัน ยิ่งร้อนแรง จาก 3 เหตุผลใหญ่ๆ
1.มาตรการคุมเข้มของภาครัฐ ทำให้ลูกค้าหันมาชอปออนไลน์ และยอดขายจากช่องทางโมเดิร์นเทรดหายไป
2.จำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น ทำให้ผู้คนไม่สามารถไปพบทันตแพทย์ จึงเลือกวิธีการดูแลตัวเองด้วยการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากที่ดีแทน
3.มีปริมาณคู่แข่งที่เพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่า
จากเดิมมีคู่แข่งประมาณ 10 ราย ตอนนี้มีคู่แข่งในตลาดมากถึง 60 ราย
จากเดิมมีคู่แข่งประมาณ 10 ราย ตอนนี้มีคู่แข่งในตลาดมากถึง 60 ราย
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำให้หลายแบรนด์ต้องเร่งปรับตัว เพื่อเพิ่มยอดขาย และส่วนแบ่งการตลาด
หนึ่งในผู้เล่นรายสำคัญ ที่ตั้งเป้าว่าจะดันยอดขายปีนี้ให้ได้ 25% คือ เดนทิสเต้ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลช่องปากระดับพรีเมียม ซึ่งเข้ามาเจาะตลาดเมื่อ 15 ปีก่อน
ความน่าสนใจ คือ แม้จะวางตัวว่าเป็นแบรนด์พรีเมียมที่เจาะ Niche Market
แต่ปัจจุบันมีวางจำหน่ายใน 25 ประเทศทั่วโลก
แต่ปัจจุบันมีวางจำหน่ายใน 25 ประเทศทั่วโลก
เภสัชกร ดร.แสงสุข พิทยานุกุล กรรมการผู้จัดการสยามเฮลท์กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายเดนทิสเต้ (Dentiste') กล่าวว่า โจทย์ของเดนทิสเต้ปีนี้ คือ เพิ่มยอดขาย และทำให้ลูกค้ารู้ว่า เดนทิสเต้ไม่ได้ขายแค่ยาสีฟัน แต่มีผลิตภัณฑ์มากกว่า 70 แบบ
ถามว่า ทำไมต้องมีสินค้าในกลุ่มมากขนาดนี้?
เภสัชกร ดร.แสงสุข ตอบว่า เพราะยิ่งสินค้าไปวางขายในหลายประเทศ
ยิ่งต้องพัฒนาให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า
“ที่สำคัญ ถ้าผลิตยาสีฟันเหมือนแบรนด์อื่นๆ แล้วใครจะซื้อเดนทิสเต้”
เภสัชกร ดร.แสงสุข ตอบว่า เพราะยิ่งสินค้าไปวางขายในหลายประเทศ
ยิ่งต้องพัฒนาให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า
“ที่สำคัญ ถ้าผลิตยาสีฟันเหมือนแบรนด์อื่นๆ แล้วใครจะซื้อเดนทิสเต้”
จากโจทย์นี้เอง กลายเป็นที่มาของ 3 กลยุทธ์หลัก ที่เภสัชกร ดร.แสงสุข ย้ำว่า “ต้องทำปีนี้ ถ้าไม่ทำปีนี้ก็สายไปแล้ว เพราะปีหน้าโควิด 19 ก็จะไปแล้ว”
เราไปดูกันว่า 3 กลยุทธ์ดังกล่าว มีอะไรบ้าง
1.เปลี่ยนภาพลักษณ์แบรนด์
จากเดิมเป็นยาสีฟันก่อนนอน มาเป็นยาสีฟันที่สร้าง Best Moment หรือช่วงเวลาดีๆ กับคนรอบข้าง
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เดนทิสเต้ปรับรูปแบบใหม่ มาสู่การเป็นยาสีฟันที่แปรงได้ทุกช่วงเวลา ไม่ใช่แค่ก่อนนอน
จากเดิมเป็นยาสีฟันก่อนนอน มาเป็นยาสีฟันที่สร้าง Best Moment หรือช่วงเวลาดีๆ กับคนรอบข้าง
ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เดนทิสเต้ปรับรูปแบบใหม่ มาสู่การเป็นยาสีฟันที่แปรงได้ทุกช่วงเวลา ไม่ใช่แค่ก่อนนอน
“ย้อนกลับไปเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ที่เราเข้ามาเจาะตลาดยาสีฟันตอนนั้น มีมูลค่าประมาณ 4,800 ล้านบาท
(ปัจจุบันมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท) ตอนนั้นคนไทยแปรงฟันเฉลี่ย 1.2 ครั้งต่อวัน แต่ตอนนี้คนไทยแปรงฟันเฉลี่ยวันละ 1.8 ครั้ง ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่า คนเกาหลี-ญี่ปุ่น ที่แปรงฟันคนละประมาณ 2.7-3.0 ครั้งต่อวัน
(ปัจจุบันมูลค่าตลาดเพิ่มเป็น 10,000 ล้านบาท) ตอนนั้นคนไทยแปรงฟันเฉลี่ย 1.2 ครั้งต่อวัน แต่ตอนนี้คนไทยแปรงฟันเฉลี่ยวันละ 1.8 ครั้ง ซึ่งยังถือว่าต่ำกว่า คนเกาหลี-ญี่ปุ่น ที่แปรงฟันคนละประมาณ 2.7-3.0 ครั้งต่อวัน
ซึ่งการที่เดสทิสเต้ เข้ามาจุดกระแสให้คนไทยหันมาแปรงฟันก่อนนอน
นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพในช่องปาก การเพิ่มความถี่ในการแปรงฟัน ยังเป็นการเพิ่มตลาดที่ใหญ่ขึ้น
นอกจากจะช่วยเรื่องสุขภาพในช่องปาก การเพิ่มความถี่ในการแปรงฟัน ยังเป็นการเพิ่มตลาดที่ใหญ่ขึ้น
ที่สำคัญยังเป็นการเปิดตลาดยาสีฟันพรีเมียม จากเดิมจ่ายแค่หลอดละ 50 บาท มาเป็นหลอดละ 150 บาทเพื่อแลกกับสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น”
2.เจาะกลุ่มคน Gen Y ขยายฐานจากกลุ่ม Gen X ซึ่งเป็นฐานลูกค้าที่ใช้เดนทิสเต้ เป็นประจำอยู่แล้ว
นอกจากจะเปิดตัวหนังโฆษณาใหม่ ซึ่งได้พรีเซนเตอร์คู่รัก ชมพู่-อารยา เอ ฮาร์เก็ต และ น็อต-วิศรุต รังสีสิงห์พิพัฒน์ มาเป็นตัวแทนของแบรนด์
เภสัชกร ดร.แสงสุข ยังแย้มด้วยว่า กำลังอยู่ระหว่างการทาบทาม “ลิซ่า” จากวง Blackpink มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ เดนทิสเต้
เพราะนาทีนี้ ถ้าจะสื่อสารกับ Gen Y ก็คงไม่มีใครน่าสนใจไปกว่า ลิซ่า ซึ่งน่าจะใช้งบประมาณ 50-60 ล้านบาท
ที่สำคัญยังช่วยสร้าง WOW moment ให้กับแบรนด์ ทำให้แบรนด์ดูมีความร่วมสมัย มีความเป็นโกลบอล
ที่สำคัญยังช่วยสร้าง WOW moment ให้กับแบรนด์ ทำให้แบรนด์ดูมีความร่วมสมัย มีความเป็นโกลบอล
3.ขยายช่องทางการขาย บุกออนไลน์
ซึ่งปีที่ผ่านมายอดขายออนไลน์เติบโตค่อนข้างมาก จากปีละ 1-2 ล้าน ก็เพิ่มเป็น 20 ล้าน และคิดว่าจะโตขึ้นอีก
ซึ่งปีที่ผ่านมายอดขายออนไลน์เติบโตค่อนข้างมาก จากปีละ 1-2 ล้าน ก็เพิ่มเป็น 20 ล้าน และคิดว่าจะโตขึ้นอีก
นอกจากนี้ ยังเตรียมบุกช่องทาง TV Shopping
ซึ่งเป็นช่องทางที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เพราะรูปแบบการขายน่าสนใจ สามารถสร้าง Value สินค้า ทำให้คนซื้อเห็นคุณค่าของสินค้าจริงๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้ายุคโควิด19 ที่คนอยู่บ้านกันมากขึ้น ดูโทรทัศน์
ใช้อินเทอร์เน็ต และนิยมซื้อของออนไลน์มากขึ้น
ซึ่งเป็นช่องทางที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ในญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
เพราะรูปแบบการขายน่าสนใจ สามารถสร้าง Value สินค้า ทำให้คนซื้อเห็นคุณค่าของสินค้าจริงๆ สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้ายุคโควิด19 ที่คนอยู่บ้านกันมากขึ้น ดูโทรทัศน์
ใช้อินเทอร์เน็ต และนิยมซื้อของออนไลน์มากขึ้น
“เชื่อไหมว่า 30% ของตลาดยาสีฟันในเกาหลีใต้ ลูกค้าซื้อผ่าน TV Shopping
เพราะรูปแบบโฆษณาแปลกตา และราคาถูกกว่า
โดยพฤติกรรมการซื้อของชาวเกาหลี จะซื้อเป็นโหลๆ ไม่เหมือนบ้านเรา
ดังนั้น ถ้าถามว่าช่องทางนี้ในไทยจะโตตามหรือไม่ ก็มีโอกาส
เพราะรูปแบบโฆษณาแปลกตา และราคาถูกกว่า
โดยพฤติกรรมการซื้อของชาวเกาหลี จะซื้อเป็นโหลๆ ไม่เหมือนบ้านเรา
ดังนั้น ถ้าถามว่าช่องทางนี้ในไทยจะโตตามหรือไม่ ก็มีโอกาส
เภสัชกร ดร.แสงสุข ยังทิ้งท้ายถึงแผน ที่จะนำกัญชงมาต่อยอดผลิตภัณฑ์ ว่าอาจจะได้เห็นในปีนี้
โดยมีแผนจะนำมาใช้ทั้งในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และสเปรย์ระงับกลิ่นปาก ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวสเปรย์ระงับกลิ่นปากเป็นตัวแรก
โดยมีแผนจะนำมาใช้ทั้งในยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก และสเปรย์ระงับกลิ่นปาก ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวสเปรย์ระงับกลิ่นปากเป็นตัวแรก
“ผมยังมองว่าสินค้าที่นำกัญชงมาเป็นส่วนผสม น่าจะเป็นแค่เทรนด์ 1-3 ปี
เจาะกลุ่มลูกค้าที่น่าจะอยากลอง อาจจะซื้อหลอดเดียวแล้วไม่ซื้ออีกเลย
แต่ถ้าคิดเล่นๆ ว่า คนไทย 70 ล้านคน ซื้อยาสีฟันที่มีส่วนผสมของกัญชงคนละหลอด ก็ขายได้ 70 ล้านหลอด ก็พอแล้ว”
เจาะกลุ่มลูกค้าที่น่าจะอยากลอง อาจจะซื้อหลอดเดียวแล้วไม่ซื้ออีกเลย
แต่ถ้าคิดเล่นๆ ว่า คนไทย 70 ล้านคน ซื้อยาสีฟันที่มีส่วนผสมของกัญชงคนละหลอด ก็ขายได้ 70 ล้านหลอด ก็พอแล้ว”
น่าจับตาว่า ถ้าทั้ง 3 กลยุทธ์ ทำได้จริง + อีก 1 ธุรกิจกัญชง ที่กำลังเกิดกระแส เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจริงๆ
ภาพรวมของธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลช่องทางจะมีสีสันขนาดไหน..
ภาพรวมของธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลช่องทางจะมีสีสันขนาดไหน..
Tag:เดนทิสเต้