“กลุ่มธุรกิจอาหารไทยเบฟ” เน้นย้ำสร้างความมั่นใจให้ลูกค้า-พนักงาน ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด รับวิถี New Normal
16 มิ.ย. 2020
ร้านอาหารภายใต้กลุ่มบริษัทไทยเบฟฯ กลับมาเปิดให้บริการตามปกติหลังจากรัฐบาลคลายล็อค พร้อมยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยขั้นสูงสุด คุมเข้มทุกมาตรการด้านสุขอนามัยที่ได้รับการรับรองระดับสากล เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า และรักษาความปลอดภัยของพนักงาน
นงนุช บูรณะเศรษฐกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ และผู้บริหารสูงสุดสายธุรกิจอาหาร บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “จากการที่ทางบริษัทไทยเบฟฯ เล็งเห็นความสำคัญของการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 พร้อมทั้งใส่ใจดูแลสุขภาพของพนักงาน จึงจัดตั้ง “คลินิกตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์” ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการที่ได้ผ่านการทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เพื่อเพิ่มศักยภาพในการตรวจคัดกรองพนักงานของบริษัทฯ สามารถตรวจหาเชื้อ โควิด-19 โดยใช้เทคนิคแบบ Real time PCR โดยใช้เครื่องมือและเกณฑ์การตรวจตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก (WHO) และ Centers for Disease Control and Prevention (CDC) เพื่อเป็นศูนย์ในการตรวจหาเชื้อ ช่วยป้องกันการแพร่ระบาด และสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยของพนักงานในการที่จะให้บริการลูกค้าของกลุ่มบริษัท ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจอาหารถือว่าได้รับผลกระทบสูงสุด ดังนั้นการกลับมาเปิดให้บริการร้านอาหารต่างๆ ในเครือไทยเบฟครั้งนี้ เรามีนโยบายส่งพนักงานที่อยู่หน้าร้านเข้ารับการตรวจเชื้อโควิด-19 ที่ “คลินิกตรวจวิเคราะห์ทางการแพทย์” เป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความปลอดภัยทั้งของตัวพนักงานเอง และยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าที่มาใช้บริการในร้านอาหารของเราอีกด้วย”
ปัจจุบัน กลุ่มธุรกิจอาหารบริษัทไทยเบฟฯ บริหารร้านอาหารทั่วประเทศจำนวน 643 ร้าน ประกอบด้วย ร้านอาหารญี่ปุ่นในกลุ่มโออิชิ 269 สาขา อาทิ โออิชิ แกรนด์, โออิชิ อีทเทอเรียม, โออิชิ บุฟเฟต์, นิกุยะ, ชาบูชิ, โฮว ยู, โออิชิ ราเมน, คาคาชิ และโอโยกิ, ร้าน KFC 333 สาขา (ภายใต้การบริหารของบริษัท เดอะ คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด) นอกจากนี้ยังมีร้านอาหารในเครืออีกกว่า 40 สาขา ได้แก่ ร้านอาหารบ้านสุริยาศัย, ร้านอาหารจีนหม่านฟู่หยวน, So Asean Café & Restaurant, MX Cakes & Bakery, คาเฟ่ ชิลลี่, เสือใต้, Eat Pot, Chill Thai, Hyde&Seek รวมถึงศูนย์อาหาร Food Street เป็นต้น
การคุมเข้มมาตรการรักษาความสะอาดและความปลอดภัย เป็นอีกมาตรการที่เราให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกกระบวนการ ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบจากโรงงานที่ได้มาตรฐานระดับสากล การขนส่งที่มีการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสม การจัดส่งถึงร้าน การจัดเก็บเข้าสู่ครัวที่ได้มาตรฐาน เพื่อรักษาคุณภาพอาหารให้ดีที่สุด ก่อนนำมาปรุง เสิร์ฟ และส่งถึงมือลูกค้า โดยกำหนดให้ทุกร้านในเครือไทยเบฟ ถือปฏิบัติภายใต้มาตรฐานเดียวกัน ดังนี้
1.การรักษาความสะอาดภายในร้าน เพื่อลดการสัมผัสเรามีบริการสั่งอาหารผ่านคิวอาร์โค้ด และเข้มงวดด้านความสะอาดของภาชนะและอุปกรณ์รับประทานอาหาร ไม่วางไว้ส่วนกลางแต่ส่งหรือเสิร์ฟให้ลูกค้าโดยตรง ด้านโต๊ะ-เก้าอี้ เคาน์เตอร์ พื้น และจุดสัมผัสต่างๆ หมั่นทำความสะอาดด้วยสารฆ่าเชื้ออยู่เสมอ และก่อนปิดร้านมีการทำความสะอาดใหญ่ในทุกจุดอย่างละเอียดทั่วถึงพร้อมมีการกำจัดขยะอย่างถูกวิธี นอกจากนี้ยังมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้บริการ เช่น ในกลุ่มร้านโออิชิที่เป็นบุฟเฟต์ เราเปลี่ยนเป็นการปรุงอาหารตามที่ลูกค้าสั่งและให้พนักงานเสิร์ฟ ส่วนภาชนะและอุปกรณ์รับประทานอาหาร เราทำความสะอาดและฆ่าเชื้อด้วยความร้อนที่ 82 - 96 องศาเซลเซียส แล้วบรรจุในถุงพลาสติกอย่างดีเสิร์ฟให้ลูกค้าเป็นชุดๆแทนการไปหยิบใช้เอง รวมทั้งเปลี่ยนอุปกรณ์ส่วนกลางที่ให้บริการบริเวณเคาน์เตอร์ทุก 1 ชั่วโมง
2.การคัดกรองสุขภาพของพนักงานทุกวัน ด้วยการตรวจวัดอุณหภูมิ และทำการล้างมือฆ่าเชื้อทุกครั้งก่อนเข้าปฏิบัติงานในร้าน หลังจากนั้นจึงสวมถุงมือ สวมหน้ากาก และ Face Shield พร้อมทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์ 70% ก่อนและหลังให้บริการทุกครั้ง
3.การลดการสัมผัสในการสั่งอาหาร ตอบรับการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ‘New Normal’ โดยพัฒนาระบบสั่งอาหารไร้สัมผัส (QR Oder) เป็นระบบการสั่งอาหารผ่านการสแกน QR Code โดยใช้โทรศัพท์ลูกค้าเพื่อแสดงสมาร์ทเมนู ระบบนี้เริ่มใช้แล้วที่ร้านโออิชิ แกรนด์, โออิชิ บุฟเฟต์, โออิชิ อีทเทอเรียม, ชาบูชิ, So asean Café & Restaurant และกำลังทยอยใช้ในร้านอื่นๆ ต่อไป
4.การใช้วัตถุดิบมีคุณภาพและปลอดภัย ตามมาตรฐาน GMP และ HACCP บริษัทฯ ใส่ใจทุกกระบวนการ ตั้งแต่การการคัดสรรแหล่งที่มาของวัตถุดิบ การคัดเลือกวัตถุดิบ กระบวนการผลิต การตรวจสอบคุณภาพ การจัดเก็บ การจัดส่ง การควบคุมคุณภาพ และการขนส่ง จนถึงผู้บริโภค มีระบบบันทึกข้อมูล ตรวจสอบและติดตามผลคุณภาพผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ได้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ถูกสุขลักษณะ และปลอดภัยสำหรับผู้บริโภค
5.การบริการส่งอาหาร (Delivery) พนักงานส่งอาหารในเครือของเราต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาขณะปฏิบัติงาน รักษาระยะห่างกับลูกค้าไม่น้อยกว่า 1 เมตร ล้างมือก่อนออกไปส่งสินค้า และกลับมาล้างมืออีกครั้งก่อนเข้าร้าน พร้อมทั้งใช้อุปกรณ์ฆ่าเชื้อฉีดทำความสะอาดกล่องที่ใช้ส่งอาหาร แฮนด์รถจักรยานยนต์ หมวกกันน็อค และกุญแจรถ ทุกครั้งหลังจากการใช้งานเสร็จในแต่ละรอบการจัดส่ง
ด้านความปลอดภัยของลูกค้า เราให้การต้อนรับลูกค้าด้วยความใส่ใจและปฏิบัติตามแนวทางของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) และกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่
1.มาตรการ Social Distancing การจัดโต๊ะที่นั่งภายในร้านเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1-1.5 เมตร และติดตั้งฉากกั้นใสบริเวณโต๊ะที่ลูกค้านั่งรับประทานอาหารรวมถึงบริเวณเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ขณะที่บริเวณหน้าร้านสำหรับลูกค้ารอคิว ก็มีการจัดระยะห่าง 1 เมตรเช่นเดียวกันพร้อมทำสัญลักษณ์ที่ชัดเจน
2.การคัดกรองก่อนเข้าร้าน เรามีเจ้าหน้าที่คอยตรวจวัดอุณหภูมิลูกค้า พร้อมบริการแอลกอฮอล์ 70%ให้กับลูกค้าทำความสะอาดมือก่อนเข้าร้าน และขอความร่วมมือให้ลูกค้าใส่หน้ากากอนามัยเมื่อเข้ารับบริการที่ร้าน พร้อมให้ลูกค้าลงสแกน QR code “ไทยชนะ” ตามที่ทางศบค.ขอความร่วมมือ
3.การทำความสะอาดมือก่อนทานอาหาร ด้วยแอลกอฮอล์ 70%โดยทางร้านมีการจัดวางแอลกอฮอล์ 70% ไว้ภายในร้าน
4.การชำระเงินแบบไร้สัมผัส (Contactless Payment) โดยผ่านคิวอาร์โค้ด เป็นการลดการสัมผัสและอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้า
5.การจองโต๊ะล่วงหน้าผ่าน BevFood Application ลูกค้าสามารถเลือกแบรนด์ เลือกสาขา ระบุวันที่ เวลา และจำนวนที่จองโต๊ะผ่าน Application จากนั้นเจ้าหน้าที่จะส่งข้อความติดต่อกลับเพื่อยืนยันสถานะการจอง เพื่อที่ลูกค้าไม่ต้องมายืนรอคิวที่หน้าร้าน เป็นบริการที่ลูกค้าเริ่มหันมาใช้กันมากขึ้นในช่วง New Normal
กลุ่มธุรกิจอาหารไทยเบฟ คุมเข้มและให้ความใส่ใจอย่างสูงสุดก็เพื่อสร้างความ “มั่นใจ” ในความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงานของเราเอง อย่างไรก็ตามเราไม่หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ หากยังคง “มุ่งมั่น” รักษามาตรฐาน พร้อม “ยกระดับ” ความปลอดภัยให้สอดรับกับวิถีชีวิตแบบใหม่ (New Normal) ที่มีการปรับเปลี่ยน ซึ่งเราเองก็เรียนรู้กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกัน เพื่อนำมาปรับการให้บริการที่ตรงกับความต้องการและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ รองรับวิถีชีวิตแบบใหม่ที่จะเกิดขึ้นตามมา
“การปรับยุทธวิธีให้สอดคล้องกับสถานการณ์เฉพาะหน้าและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงการนำเทคโนโลยี-ดิจิทัลมาปรับใช้อย่างเหมาะสม และที่สำคัญที่สุดคือต้องลงมือทำอย่างจริงจังและเร็วที่สุด เป็นกลยุทธ์หลักที่จะช่วยให้เรารับมือกับสถานการณ์ โควิด-19 และสร้างความแข็งแกร่งให้เราก้าวต่อไปอย่างยั่งยืน” นงนุช บูรณะเศรษฐกุล กล่าวปิดท้าย