พญาไท 1 ยกระดับสู่ความเป็นโรงพยาบาลระดับมาตรฐานสากล เปิดตัวศูนย์สมองและประสาทวิทยาครบวงจร ตั้งเป้า State of the Art of Neurology ในปี 2564
31 ก.ค. 2019
ฉลองครบรอบ 43 ปี รพ.พญาไท 1 ประกาศเดินหน้ายกระดับคุณภาพมาตรฐานทั้งด้านการรักษาและการให้บริการตั้งเป้าสู่ความเป็นเลิศ ภายใต้แนวคิด “โรงพยาบาลที่ผู้รับบริการให้ความไว้วางใจอย่างสูงสุด” ยกระดับปรับโฉมโรงพยาบาลด้วยภาพลักษณ์ใหม่ หวังเจาะกลุ่มลูกค้า A+ พร้อมตอกย้ำจุดเด่นประเทศไทยคือศูนย์กลางการรักษาที่ดีที่สุด ทางโรงพยาบาลพญาไท 1 กำลังก่อสร้างศูนย์การรักษาด้านสมองและประสาทวิทยาที่มีเฉพาะที่ รพ.พญาไท1 เพียงหนึ่งเดียว พร้อมขยายศูนย์บริการ INTERNATIONAL ZONE รองรับการให้บริการลูกค้านานาชาติครบวงจร พร้อมจัดงาน “THE NEW BEYOND ก้าวใหม่...ที่เหนือกว่า” โดยมี อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ เข้าร่วมงาน
ดร.นพ. เกริกยศ ชลายนเดชะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพญาไท 1 กล่าวว่า ในปี 2562 นี้ โรงพยาบาลพญาไท 1 ประกาศปรับวิสัยทัศน์ใหม่ โดยพร้อมที่จะก้าวสู่การเป็นโรงพยาบาลที่ผู้รับบริการให้ความไว้วางใจสูงที่สุด ภายในปี 2564หรือ High Reliability Hospital ที่จะพัฒนาศักยภาพครอบคลุมใน 3 ด้าน ได้แก่ การเป็นโรงพยาบาลที่มีคุณภาพการรักษาที่ดีที่สุด (Quality) การเป็นโรงพยาบาลที่มีความปลอดภัยที่สุด (Safety) และการเป็นโรงพยาบาลที่มีประสิทธิภาพสูงสุด (Efficiency)
ด้านคุณภาพการให้บริการและการรักษา นอกเหนือจากได้รับการรับรองระบบคุณภาพมาตรฐานสากลทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว โรงพยาบาลยังมีระบบคุณภาพในการพัฒนาการดูแลรักษาแบบรายโรค ซึ่งได้รับการประเมินคุณภาพทั้งในประเทศไทยและระดับสากลเช่นกัน ปัจจุบันโรงพยาบาลได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการศูนย์ทั้ง 26 แห่ง ให้มีรูปแบบการบริหารแบบ Strategic Business Unit ซึ่งนอกจากจะทำให้มีความคล่องตัวและเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการดูแลคนไข้เป็นเอกเทศของตัวเองแล้ว แต่ละศูนย์ยังมีแนวทางการจัดการศูนย์ตามมาตรฐานของแต่ละรายโรคโดยเฉพาะ ซึ่งภายใต้ระบบคุณภาพดังกล่าวจะทำให้แพทย์และผู้เกี่ยวข้องมุ่งเน้นคุณภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ในการบริการทางการแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท 1 ได้พัฒนาระบบ Nurse Case Manager หรือพยาบาลผู้จัดการรายกรณี ช่วยทำให้ระบบการให้บริการและการรักษา ที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างแพทย์กับคนไข้ สามารถวางแผน ทราบขั้นตอนการรักษา และติดตามผลการรักษาร่วมกับแพทย์ ตลอดจนเป็น contact point ของคนไข้ทุกกรณี
ด้านความปลอดภัย โรงพยาบาลพญาไท 1 มีเป้าหมายจะเป็นโรงพยาบาลเพื่อผู้สูงอายุ เนื่องจากการสำรวจพบกลุ่มคนไข้ของโรงพยาบาลที่มีอายุเกิน 60 ปีมากถึง 50% โรงพยาบาลจึงให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบการดูแลคนไข้ผู้สูงอายุโดยเฉพาะ ด้วยการจัดทำคู่มือแนวทางการปฏิบัติการให้บริการและดูแลคนไข้ผู้สูงอายุในแต่ละแผนกที่มีการให้บริการผู้ป่วยสูงอายุ ทั้งนี้คำนึงถึงความปลอดภัยในการดูแลคนไข้สูงสุด
ด้านประสิทธิภาพ โรงพยาบาลยังคงเดินหน้าพัฒนากระบวนการรักษาที่มีประสิทธิภาพต่อผู้ป่วยสูงสุดต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยในแต่ละโรค อาทิ ผู้ป่วย Stroke มีการจัดตั้ง Acute stroke unit เพื่อดูแลผู้ป่วย stroke โดยเฉพาะ การจัดทำ Mobile stroke unit ที่สามารถตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์สมอง และให้การรักษาในรถฉุกเฉินได้ตั้งแต่ที่หน้าบ้านผู้ป่วย ระบบการดูแลผู้ป่วยด้วยระบบ 24 Hours Stroke Fast Track ตลอดจนได้นำแนวทางการดูแลผู้ป่วย stroke ที่เป็นสากล (guideline for acute stroke) มาใช้ในกระบวนการดูแลผู้ป่วย จากการพัฒนากระบวนการและผลลัพธ์ในการรักษาจนมั่นใจว่าสามารถเทียบได้กับระดับนานาชาติ
นอกจากนี้ เพื่อมอบการบริการที่แตกต่างและเป็นหนึ่งเดียว โรงพยาบาลพญาไท 1 กำลังดำเนินการจัดสร้างอาคารแห่งใหม่ ความสูง 17 ชั้น รวมทั้งตั้งเป้าเป็นศูนย์การรักษาด้านอายุรศาสตร์ประสาทวิทยาครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ State of the Art และคาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า เป็นศูนย์กายภาพบำบัดทางประสาทวิทยาที่ทันสมัยและหอผู้ป่วยที่จำลองความเป็นบ้านสำหรับผู้ป่วยทางประสาทวิทยา เพื่อเตรียมการรักษาและกลับไปใช้ชีวิตที่บ้าน
“ที่ผ่านมาโรงพยาบาลพญาไท 1 ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหลอดเลือดสมอง และได้ก้าวสู่การเป็น Comprehensive Stroke Center โดยศูนย์โรคหลอดเลือดสมองพญาไท ของโรงพยาบาลพญาไท 1 เป็นศูนย์รักษาโรคหลอดเลือดสมองแบบครบวงจร และได้รับการรับรอง Comprehensive Stroke Center Certification จาก DVN GL ซึ่งเป็นองค์กรผู้นำด้านการพัฒนาบริการสุขภาพสู่ความเป็นเลิศ ที่ให้การรับรองมาตรฐานสากลระดับโลกอย่างเป็นทางการ ซึ่งจากการที่โรงพยาบาลดำเนินการพัฒนาการบริการรักษาผู้ป่วยโรค Stroke มาตั้งแต่ปี 2555 จึงมองเห็นศักยภาพที่เราจะมุ่งการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมการรักษาสู่การเป็น State of the Art of Neurology ที่มีความสามารถให้การรักษาเกี่ยวกับด้านสมองและระบบประสาทวิทยาที่ดีและมีความทันสมัยในระดับโลก
รวมถึงความก้าวหน้าในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง โดยศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลพญาไท 1 ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความโดดเด่นของเรา ด้วยเทคโนโลยีการรักษามะเร็งแนวทางใหม่ แบบเจาะจงเฉพาะบุคคล (Precision Cancer Medicine) ที่ยกระดับประสิทธิภาพการตรวจความผิดปกติระดับกรรมพันธุ์ (Gene) จนนำไปสู่ขบวนการวางแผน เพื่อเจาะจงการใช้ยารักษามะเร็งแบบเฉพาะบุคคล ตอกย้ำความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์สุขภาพที่ดี สมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ โดยจะยังคงมุ่นมั่นพัฒนาศักยภาพรอบด้าน เพื่อยืนหยัดการเป็นโรงพยาบาลชั้นนำที่คนไทยไว้วางใจให้เราช่วยดูแล
ดร.นพ. เกริกยศ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาโรงพยาบาลพญาไท 1 มีการปรับวิสัยทัศน์ เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2555 โดยในขณะนั้นมีวิสัยทัศน์ที่จะเป็น Boutique and Innovative Hospital ซึ่งด้วยความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียง และการบริการที่เป็นเลิศ ภายใต้ปรัชญาการบริหารที่เน้นหนักความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ ส่งผลทำให้โรงพยาบาลได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าคนไข้ โดยมีผู้เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้น รวมถึงการเป็นที่ยอมรับในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวกัมพูชาที่มาใช้บริการ จนทำให้โรงพยาบาลพญาไท 1 กลายเป็นโรงพยาบาลที่ชาวกัมพูชามาใช้บริการมากที่สุดของไทย ต่อมาปี 2558 โรงพยาบาลพญาไท 1 จึงเดินหน้าขยายวิสัยทัศน์ สู่การเป็น Boutique and Innovative Hospital for Thai and CLMV Patients
“แผนการปรับปรุงพัฒนาการบริการโรงพยาบาล เริ่มจากการมุ่งเน้นพัฒนาศักยภาพด้านการรักษา เนื่องจากสำรวจพบว่าลูกค้าและคนไข้ส่วนใหญ่ที่เข้ามาใช้บริการโรงพยาบาลพญาไท 1 เพราะต้องการได้รับการรักษาโรคกลุ่มที่ต้องการการดูแลโรคซับซ้อน และโรคเฉพาะทาง (Innovative Product) เป็นหลัก
แต่นอกจากความชำนาญการด้านการรักษาแล้ว โรงพยาบาลเล็งเห็นว่ายังจำเป็นต้องมีการพัฒนาปรับปรุงด้านสถานที่ควบคู่กันไปด้วย จึงเริ่มปรับปรุงโครงสร้างอาคาร พื้นที่และปรับปรุงสิ่งแวดล้อมโดยรอบ ซึ่งใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งวันนี้เราพร้อมให้บริการเต็มประสิทธิภาพแล้ว”
ปัจจุบันสัดส่วนลูกค้าของโรงพยาบาลพญาไท 1 แบ่งเป็น กลุ่มลูกค้าคนไทย 65% และต่างชาติ 35% โดย 80% ของลูกค้าต่างชาติ มาจากประเทศกัมพูชา รองลงมา คือ พม่า อาเซียน ยุโรป อเมริกา และจีน ฯลฯ โดยในปี 2561 โรงพยาบาลมีการเติบโตของลูกค้าต่างประเทศของจำนวนลูกค้าคิดเป็น 8.6% และ คาดว่าในปี 2562 จะมีการเติบโตของลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้นประมาณ 10%