สรุปเทรนด์การตลาด 2025 ไอเดียดันยอดขาย โกยรายได้ปัง จากงาน “SME x Influencer” ภูเก็ต

สรุปเทรนด์การตลาด 2025 ไอเดียดันยอดขาย โกยรายได้ปัง จากงาน “SME x Influencer” ภูเก็ต

28 พ.ย. 2024
นับถอยหลังอีกเพียงไม่กี่อึดใจ ก็จะเข้าสู่ปี 2025 
ที่เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีแห่งความท้าทายสำหรับผู้ประกอบการ SME ไทย ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน
เพื่อส่งเสริม SME NewGen รวมไปถึง Influencer ในการต่อยอดธุรกิจและเพิ่มรายได้
ซีพี ออลล์ ร่วมกับสมาคมการค้าปลีกและเอสเอ็มอีทุนไทย าจัดกิจกรรมสัมมนาออนทัวร์ขึ้นเป็นครั้งที่ 3
โดยครั้งนี้ ลงใต้มาจัดกิจกรรม ที่จังหวัดภูเก็ต ในหัวข้อ “SME NewGen อัปเดตเทรนด์ 2025 เพิ่มยอดขาย พร้อมรายได้ปัง” ซึ่งกิจกรรมในงานจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่
1. ช่วงสัมมนาอัปเดตเทรนด์ แนวโน้มการทำคอนเทนต์ การขายของ การสร้างรายได้ที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 โดย คุณแอ๊ม-ศรัณย์ แบ่งกุศลจิต เจ้าของช่อง “การตลาดการเตลิด”
2. ช่วงแชร์ประสบการณ์ตรงในมุมของการเป็น SME และ Influencer สำหรับการหารายได้ในปี 2025 โดย คุณหนึ่ง-ธีระวัฒน์ เลาหพันธุ์ เจ้าของแบรนด์ HappyChef แบรนด์ SME ที่มีสินค้าจำหน่ายใน 7-Eleven และคุณศุภกิตติ์ อูปคำ Influencer ชาวใต้ชื่อดัง จากช่อง ThomasTom ที่มีผู้ติดตามมากถึง 1.4 ล้านคน 
ภายในงานจะมีไอเดียอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้น
MarketThink รวบตึงมาไว้ให้แล้ว
- Keyword สำคัญของเทรนด์การตลาดที่จะเกิดขึ้นในปี 2025 คือ “ผู้บริโภคมีความกังวลว่าจะถูกหลอกลวง ไม่ว่าจะเป็นการได้ของไม่ตรงปก สั่งซื้อไปแล้วไม่ได้ของ โดนหลอกให้โอนเงินฟรี”
ดังนั้น ผู้บริโภคจะมองหาผู้ประกอบการที่เป็นตัวจริง มีความน่าเชื่อถือ
สินค้าราคาถูก อาจจะไม่ใช่ไม้ตายในการปิดการขายอีกต่อไป เพราะบางครั้งของถูกเกินไป ผู้บริโภคก็ไม่กล้าซื้อ
เพราะเทรนด์ของผู้บริโภคยุคนี้ ยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าที่ราคาสูงมากขึ้น
และกล้าซื้อของที่ราคาเหมาะสม ในขณะที่ของที่ถูกเกินไปจะเริ่มถูกตั้งคำถาม
ด้วยแลนด์สเคปของเทรนด์การตลาดนี้เอง ทำให้โจทย์การทำตลาดของ SME ยุคนี้ไม่ใช่แค่ทำให้ลูกค้าบอกต่อปากต่อปาก แต่ต้องแข่งกันทำให้คนใช้สินค้ารู้สึกดี และประทับใจ จนอยากถ่ายรูปอัปลงโซเชียล
ที่สำคัญ คนไทยยังชื่นชอบการขายของที่มีความสนุกอยู่ ดังนั้นร้านไหนทำคลิปขายของได้น่าสนุก และน่าสนใจจะได้เปรียบ  
นอกจากนี้ ลูกค้ายุคนี้ ยังชอบร้านที่เก่งเฉพาะทาง ร้านที่ขายหลายอย่าง จะดูเหมือนไม่เชี่ยวชาญสักอย่าง
ขณะที่การคืนสินค้าและการรับประกัน กลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ลูกค้าตัดสินใจเลือกแบรนด์หรือร้านนั้น 
จากสถิติของ TikTok พบว่า ร้านที่เปลี่ยนคืนสินค้าได้ง่าย จะขายดีขึ้น 60%
ในด้านช่องทางการขาย แบรนด์หรือร้านค้าควรมีช่องทางการขายให้ครบทั้งออฟไลน์และออนไลน์ โดยมีให้ครบทุกแพลตฟอร์ม อย่ายึดติดกับช่องทางใดช่องทางหนึ่ง
เพราะบางครั้งลูกค้าอาจจะไม่ได้ตัดสินใจในครั้งแรกที่เห็นแบรนด์หรือสินค้า แต่เมื่อไรที่คิดจะซื้อ แบรนด์หรือร้านค้านั้นต้องสามารถเข้าถึงได้ง่าย เร็ว และสะดวกที่สุด 
หรือบางครั้งลูกค้าอาจจะเห็นสินค้าผ่านหน้าร้าน แต่เลือกที่จะไปซื้อบนออนไลน์แทน
แต่ถ้าบริหารหลายแพลตฟอร์มในเวลาเดียวกันไม่ไหว ให้เลือก TikTok เพราะกระแสไวรัลส่วนใหญ่เริ่มจากแพลตฟอร์มนี้
อีกหนึ่งเทรนด์ที่จะมาแรง คือ การ LIVE เพราะคนไทยชอบการสื่อสารที่สามารถโต้ตอบ 
เช่นเดียวกับ Affiliate Marketing มาแรงในทุกแพลตฟอร์ม และมาทุกรูปแบบคอนเทนต์
มาถึงหัวใจสำคัญที่จะทำให้สินค้าขายดี นอกจากจะต้องมี 3 Unique Selling Point หรือจุดขายที่ใครก็เลียนแบบไม่ได้ หรือถ้าจะเลียนแบบก็ต้องใช้เวลา สินค้ายังต้องมีการสร้างเรื่องราว (Storytelling) และมีการสร้าง Branding เพื่อให้แบรนด์มีตัวตน สินค้าเป็นที่จดจำ
ที่น่าสนใจ คือ ผู้บริโภคยุคนี้ รับได้กับการชมโฆษณา เพียงแต่ต้องเป็นโฆษณาที่มีการใส่ไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ 
ขณะที่เทรนด์ Fear of Missing Out (FOMO) หรือกลัวตกเทรนด์ ไม่ทันกระแส ยังคงมาแรง ผู้บริโภคยังเลือกกินเลือกใช้สินค้าตามรีวิว
ทั้งหมดนี้ คือ ไอเดียที่น่าสนใจที่ฉายภาพให้เห็นเทรนด์การตลาดปีหน้า 
มาถึงบทเรียนจากประสบการณ์ตรงของผู้ประกอบการ และ Influencer กันบ้าง
เริ่มจากคุณหนึ่ง เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการนำสินค้าเข้ามาวางจำหน่ายใน 7-Eleven ว่า
“ในเวลานั้นผมเอง เริ่มคิดว่ามีสินค้าอะไรที่น่าสนใจและน่าทำ ตอนนั้นเห็นว่าใน 7-Eleven มีไส้กรอก เลยคิดว่าทำไมไม่มีลูกชิ้นปิ้งขายบ้าง
เลยกลายเป็นที่มาของสินค้าตัวแรก คือลูกชิ้นปิ้งแบบเสียบไม้”
แม้ไอเดียเริ่มต้นจะปัง แต่กว่าจะปั้นสินค้าให้ผู้บริโภคเปิดใจยอมรับกลับต้องใช้เวลาไม่น้อย
กระทั่งแบรนด์เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อเห็นกระแสความนิยมของคนไทยต่ออาหารเกาหลีที่เพิ่มขึ้น เมื่อ 2 ปีก่อน จึงได้เปิดตัว ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส ตามมาด้วยสินค้าอีกมากมาย เช่น ​ไส้กรอกต๊อกบกกีชีส สูตรเผ็ดพ่นไฟ, ต๊อกบกกีชีสฮอตซอส, ไก่ซอสบูลดักชีส รวมถึงไส้กรอกต๊อกบกกีลาวาชีส ฯลฯ
“ผมมองว่าสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจ คือ การสร้างความต่าง อย่างตอนแรกที่เราทำลูกชิ้นเสียบไม้ เราก็สร้างความต่างตั้งแต่ภาพลักษณ์ที่ดูสะอาด หรือต่อมา ตอนที่เราพัฒนาหมูคลุกฝุ่น (หมูทอดคลุกผงลาบ) เราก็เน้นตอบโจทย์ลูกค้า ที่ส่วนใหญ่เดินเข้ามาใน 7-Eleven ก็ต้องการความสะดวก
เพราะฉะนั้น จุดเด่นของสินค้าของเราคือ เขย่าแล้วฉีกซองกินได้เลย จนมาถึงสินค้าซีรีส์เกาหลี เราชูจุดเด่นเรื่องรสชาติและเมนูที่หลากหลาย แทนที่ลูกค้าจะต้องเสียเงินหลักร้อยไปกินอาหารเกาหลีที่ร้าน มา 7-Eleven จ่ายเพียงหลักสิบ ก็ได้รสชาติเกาหลีที่คิดถึง”
อีกหัวใจสำคัญ คือ เวลาทำสินค้าต้องคิดให้รอบด้าน
“อย่างบรรจุภัณฑ์ เราคิดเผื่อผู้บริโภค เราจึงใส่ใจตั้งแต่การออกแบบขนาดของถ้วย ต้องถือแล้วยังจับตะเกียบด้วยมือเดียวได้
ขณะเดียวกัน ยังคิดเผื่อไปถึงโรงงานที่ผลิต กระบวนการขนส่งเป็นอย่างไร
เวลาพนักงานนำมาอุ่น จะฉีกซองยากไหม”
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ประกอบการ SME ที่เพิ่งเริ่มต้นธุรกิจ หรือกำลังท้อแท้ 
คุณหนึ่ง แนะนำว่า “HappyChef พัฒนาสินค้ามากว่าร้อยเมนู แต่มีที่เป็นตัวท็อปประมาณ 8 เมนู อย่าลืมว่า ก่อนที่จะเป็นธุรกิจใหญ่ ทุกคนเริ่มต้นจากธุรกิจเล็ก ๆ มาก่อน ไม่มีเงินมาก่อน
เพราะฉะนั้น อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ อย่ายึดติดกับไอเดียที่มี จนไม่ฟังคอมเมนต์หรือเจอคอมเมนต์แล้วท้อ
ผมเองอยู่ในธุรกิจอาหาร ที่คนแต่ละภูมิภาคก็มีรสนิยมความชอบไม่เหมือนกัน ยิ่งของเราขายใน 7-Eleven ที่มีอยู่ทั่วประเทศ เรายิ่งต้องพร้อมนำคอมเมนต์ คำติชม ไปค่อย ๆ ปรับเพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกปากคนทั้งประเทศ
เพราะฉะนั้น อย่าฟังแค่เสียงตัวเอง ให้ฟังเสียงคนอื่น นอกจากคนรอบตัวให้ลองขยายวงออกไปกว้าง ๆ ผมเชื่อว่า ถ้าสินค้าดี อร่อยถูกปากคนส่วนใหญ่ โดยไม่หลอกตัวเอง สินค้านั้นจะพาเราไปได้ไกล”
ด้านคุณศุภกิตติ์ เจ้าของช่อง ThomasTom เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการเป็น Influencer ว่า เริ่มตั้งแต่ตอนเป็นสจ๊วต ก็เลยทำคลิป โดยมีจุดเด่นคือ การพูดภาษาอังกฤษ สำเนียงใต้ เนื่องจากพื้นเพเป็นคนใต้อยู่แล้ว
คลิปแจ้งเกิดคือ ตอนที่เดินทางไปลอนดอนแล้วลองโทรหารูมเซอร์วิส ด้วยการพูดภาษาอังกฤษสำเนียงใต้ ปรากฏลงคลิปในเฟซบุ๊ก ที่มีผู้ติดตามประมาณ 2,000 คน แต่มียอดแชร์ 6,000 ครั้ง กลายเป็นคนดังชั่วข้ามคืน และค้นพบว่านี่คือจุดขายที่คนชอบ เลยทำคลิปมาเรื่อย ๆ
“หัวใจสำคัญของการเป็น Influencer คือ หาจุดเด่นให้เจอ ผมเองก็มาเจอจากคลิปนั้นที่คนแชร์เยอะ เหมือนเจอคำตอบเลยว่า คนชอบคอนเทนต์แบบไหน
เพราะเราทำให้สิ่งที่คนอื่นไม่มี เป็น Unique Selling Point และทำให้วันนี้เรายืนหนึ่งในความเป็นใต้”
สำหรับใครที่กำลังมองวิธีออกแบบตัวตน เพื่อสร้าง Branding ให้ตัวเอง คุณศุภกิตติ์แนะนำให้เลือกจากสิ่งที่ถนัดหรือรัก เช่น ชอบพระเครื่อง ก็ทำคอนเทนต์พระเครื่อง เพราะไม่ว่าทำคอนเทนต์อะไรก็ตาม จะ Represent คนกลุ่มหนึ่งที่ชอบสิ่งเดียวกันกลับมาเสมอ
ที่สำคัญ หากทำในสิ่งที่รักแล้วต้องทำสม่ำเสมอ
ถ้าทำสม่ำเสมอจนติดตลาด จับทางถูกจะไปได้ไกล และทำเงินได้มหาศาล
“ผมแนะนำให้ทำไปเรื่อย ๆ จนกว่าจักรวาลจะเหวี่ยงสิ่งที่ถูกต้องมาให้คุณในเวลาที่เหมาะสม
ถ้าเอาสิ่งที่คอนทราสต์ คนละโลกมารวมกัน ก็จะมีแค่เราเป็นคนเดียวในโลก
ฟีดแบ็กคือครูที่ดีที่สุดในการทำคอนเทนต์และการทำธุรกิจ”
นอกจากนี้การวาง Position ของตัวเองในตลาดก็สำคัญ
ถ้าวางตัวเองถูกต้อง เราจะอยู่ในตลาดนั้นตลอดไป ดังนั้นช่อง ThomasTom จะให้ความสำคัญกับการคัดเลือกงานที่เข้ามา เพราะต้องการคุมสโคปคุณภาพงาน
สุดท้ายนี้คุณศุภกิตติ์บอกว่า การทำคอนเทนต์ เหมือนการเปิดร้านโชห่วย
ต้องเปิดหน้าร้านทุกวันให้คนเห็น ไม่ให้คนดูของเราไปดูคนใหม่ ๆ
ต้องเปิดหน้าร้านสม่ำเสมอ และพัฒนาคอนเทนต์ตลอดเวลา
ทั้งหมดนี้ คือ ไอเดียดี ๆ ที่เก็บตกจากงาน “SME x Influencer”  
แต่ไฮไลต์ของงานยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะยังมีบูทจากศูนย์ 7-Eleven สนับสนุน SME ที่จะมาแสดงให้เห็นถึงบทบาทความสำคัญของศูนย์ฯ ในการให้ข้อมูลเรื่องพัฒนาสินค้า และการคัดเลือกสินค้าเข้าวางขายใน 7-Eleven พร้อมรับคำปรึกษาจากตัวแทนศูนย์ฯ อีกด้วย
ติดตามข่าวสารและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
Facebook CPALL : www.facebook.com/cpall7
#SMEโตไกลไปด้วยกันอย่างยั่งยืน #CPALL #7Eleven #SMExInfluencer #SMENewGen
Tag:CPALL
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.