อธิบายสูตร 70/20/10 สัดส่วนทองคำ ใช้วางแผน กลยุทธ์การตลาดได้

อธิบายสูตร 70/20/10 สัดส่วนทองคำ ใช้วางแผน กลยุทธ์การตลาดได้

14 มิ.ย. 2024
ถ้าพูดถึง 70/20/10 Rule หลายคนน่าจะเคยได้ยินว่าเป็นสูตรกระจายสัดส่วน ที่ใช้สำหรับการเรียนรู้ และการพัฒนาทรัพยากรบุคคลสำหรับองค์กรต่าง ๆ
โดยกำหนดให้การเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ แบ่งออกเป็นสัดส่วน คือ
- 70% เรียนรู้จากประสบการณ์ ที่ได้จากการทำงานจริง
- 20% เรียนรู้จากเพื่อนร่วมงาน
- 10% ที่เหลือ เรียนรู้จากการฝึกอบรม
แต่รู้หรือไม่ว่า จริง ๆ แล้ว 70/20/10 Rule ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับเรื่องอื่น ๆ ได้อีกเป็นจำนวนมาก
เพราะโดยพื้นฐานของ 70/20/10 Rule จริง ๆ แล้ว เป็นเรื่องของการจัดสัดส่วนเพื่อกระจายความเสี่ยง ให้มีความเหมาะสม
ไม่ว่าจะเป็น การบริหารจัดการเวลา
การบริหารจัดการค่าใช้จ่าย
การพัฒนาการสื่อสาร
กลยุทธ์การพัฒนาธุรกิจ
หรือกลยุทธ์การสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ
แต่ที่น่าสนใจที่สุด คือ 70/20/10 Rule สามารถนำไปใช้ในด้านการตลาดได้ ซึ่งเราจะอธิบายให้อ่านกันในโพสต์นี้
- 70/20/10 Rule ในมุมการตลาด จากเคส Coca-Cola
เริ่มกันด้วยเรื่องแรก 70/20/10 Rule ที่ใช้ได้กับการทำการตลาดสินค้าต่าง ๆ
Jonathan Mildenhall อดีตผู้บริหารที่ดูแลแคมเปญการตลาด และการสื่อสารของ Coca-Cola ระบุว่า ที่ Coca-Cola มีการนำ 70/20/10 Rule ไปใช้กับกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารของแบรนด์
โดยใช้ 70/20/10 Rule เป็นตัวช่วยกำหนดสัดส่วนกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารของแบรนด์ Coca-Cola ในภาพรวม ได้แก่
- สัดส่วนแรก : 70%
เป็นการทำการตลาด และการสื่อสาร ไปกับสินค้าหลักในปัจจุบันของ Coca-Cola
ซึ่งสินค้าหลักที่ว่านี้ Coca-Cola เรียกว่าเป็นสินค้าแบบ “Bread and Butter” มีหน้าที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัทในทุก ๆ วัน
การตลาด และการสื่อสารในสัดส่วน 70% แรกนี้ จึงมีความเสี่ยงต่ำที่สุด ใช้เวลาในการทำงานน้อย เพราะเป็นสิ่งที่ทำเป็นปกติ ในทุก ๆ วันอยู่แล้ว
แต่การตลาดในสัดส่วน 70% แรกนี้ จะทำให้เรามีเงินไปใช้กับการตลาดในสัดส่วน 20% และ 10% ที่เหลือ
- สัดส่วนที่สอง : 20%
เป็นการทำการตลาด และการสื่อสาร ไปกับเทรนด์ใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น และมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
โดยเป็นสิ่งที่ต่อยอดมาจากการตลาด และการสื่อสาร ในสัดส่วน 70% แรก ที่เคยทำมาก่อน จึงมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น แต่ก็คุ้มค่าที่จะทดลองทำ
เพราะมีโอกาสที่การตลาดในสัดส่วน 20% นี้ จะประสบความสำเร็จ และกลายเป็นการตลาดในสัดส่วน 70% ซึ่งสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ได้ในอนาคต
- สัดส่วนที่สาม : 10%
เป็นการทำการตลาด และการสื่อสาร ไปกับสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน
ซึ่งการตลาดในสัดส่วนนี้ มีความเสี่ยงสูง มีทั้งแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จ และล้มเหลว จึงต้องอาศัยความกล้าในการลงมือทำ
ดังนั้น Jonathan Mildenhall จึงแนะนำว่า การทำการตลาดประเภทนี้ จะต้องเตรียมตัวรับผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวก็ตาม
แต่อย่างไรก็ตาม แม้การตลาดประเภทนี้จะดูมีความเสี่ยง จนหลายคนอาจไม่กล้าลงมือทำ แต่ Jonathan Mildenhall มองว่า การตลาดประเภทนี้มีความจำเป็น เพราะสิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อน หากประสบความสำเร็จ ก็จะกลายเป็นการตลาดในสัดส่วน 70% และ 20% ได้ในอนาคต
ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยสร้างรายได้ให้กับแบรนด์ของเรา อย่างมหาศาล..
ทีนี้ แม้ว่า Coca-Cola จะไม่ได้ยกตัวอย่างแคมเปญการตลาดแต่ละประเภท ให้คนนอกแบบเรา ๆ รู้กันอย่างชัดเจน
แต่หากเราลองสมมติ โดยอ้างอิงจาก 70/20/10 Rule ที่ Coca-Cola ใช้ในการกำหนดกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารของแบรนด์ จะมีตัวอย่างดังนี้
- การตลาดสัดส่วนแรก จำนวน 70% จะใช้ไปกับสินค้าที่ทำเงินให้กับ Coca-Cola นั่นก็คือ น้ำอัดลม
เช่น โฆษณาน้ำอัดลม Coca-Cola ในช่องทางต่าง ๆ เช่น ทีวี ออนไลน์ หรือป้ายโฆษณาบิลบอร์ด ซึ่งเป็นสิ่งที่ Coca-Cola ทำมาโดยตลอดอยู่แล้ว
- การตลาดสัดส่วนที่สอง จำนวน 20% อาจเป็นการทำการตลาดไปกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความเฉพาะกลุ่มมากขึ้น
ทำการตลาดบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียใหม่ ๆ ที่ไม่เคยทำมาก่อน เพื่อสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ แต่อาศัยพื้นฐานจากการตลาด 70% แรก ที่เคยทำมาในอดีต
- การตลาดในสัดส่วนที่สาม จำนวน 10% อาจเป็นการทำการตลาดด้วยวิธีแปลกใหม่ ไม่เคยทำมาก่อน ไม่มีอะไรยืนยันว่าจะประสบความสำเร็จ
ในกรณีนี้ Jonathan Mildenhall เคยยกตัวอย่างว่า Coca-Cola เคยพัฒนาเกมมาให้คนทั่วโลกได้เล่น เพื่อหวังให้เกิดเป็นไวรัล ที่ทำให้คนทั่วโลกได้แชร์ต่อ
แต่ผลสุดท้าย การตลาดในรูปแบบนี้ของ Coca-Cola ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
นอกจากนี้ 70/20/10 Rule ยังนำไปใช้ในการวางแผนกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารรูปแบบอื่นได้ เช่น
- 70/20/10 Rule กับการวางแผนคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของแบรนด์
โดยแบ่งเป็น คอนเทนต์ในสัดส่วน 70% แรก
ควรเป็นคอนเทนต์ที่ใช้ในการสร้างแบรนด์ และสร้างภาพลักษณ์ที่ดี หรือดึงดูดให้คนทั่วไป กดเข้าไปที่เว็บไซต์ของเรา
คอนเทนต์ในสัดส่วน 20% ถัดมา
ควรเป็นคอนเทนต์ที่เราแชร์จากเว็บไซต์อื่น ๆ แต่มีความเกี่ยวข้องกับแบรนด์ของเราโดยตรง เช่น บทความ ข่าวสารสำคัญ สัมภาษณ์ และรีวิวการใช้งานจริง
หรือบางทฤษฎี ก็ระบุว่า คอนเทนต์ในสัดส่วน 20% นี้ ควรเป็นคอนเทนต์ไวรัล ที่กระตุ้นให้ผู้ติดตามแชร์ต่อ เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับแบรนด์ในวงกว้าง
ส่วนคอนเทนต์ในสัดส่วน 10% ที่เหลือ
ควรเป็นคอนเทนต์ที่กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ ตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น คอนเทนต์แจ้งราคา โปรโมชัน หรือของแถมต่าง ๆ
หรือจะเป็นไอเดียในการทำคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่เราไม่เคยทำมาก่อนก็ได้ เช่น การทำโพล ชวนให้ผู้ติดตามแสดงความคิดเห็น เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างการนำ 70/20/10 Rule ไปประยุกต์ใช้กับการวางแผนกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสารของแบรนด์
แม้ว่าจะไม่ใช่สูตรที่ตายตัว หรือการันตีว่าหากทำตามแล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ก็พอเป็นไอเดียเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แบรนด์ต่าง ๆ สามารถนำไปใช้กำหนดกลยุทธ์การตลาด และการสื่อสาร ของตัวเองได้
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.