ครบรอบ 10 ปี AP x Mitsubishi Estate ยืนหนึ่งพัฒนาอสังหาฯ ในไทย พร้อมผสานจุดแข็ง สร้างการเติบโตต่อไป

ข้อดีของการมีพาร์ตเนอร์ในการทำธุรกิจ คือ การนำจุดแข็งมาผสานกัน ทำให้ธุรกิจไปได้ไกล

รู้หรือไม่ว่า ในวงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย มี 2 บริษัทที่จับมือกันอย่างเหนียวแน่นมาแล้วกว่า 10 ปี อีกทั้งยังมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุน ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนหนึ่งเดียวในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ประสบความสำเร็จ และจะยังคงเดินหน้าต่อไปอย่างแข็งแกร่ง

2 บริษัทที่จับมือกันยาวนานกว่า 10 ปี ก็คือ AP Thailand และ Mitsubishi Estate

แล้วเรื่องราวของ 2 ยักษ์ใหญ่ที่มาจับมือร่วมกันนี้ น่าสนใจอย่างไร ?
มาหาคำตอบกัน..

ถ้าพูดถึง Mitsubishi หลายคนอาจนึกถึงธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่จริง ๆ แล้วยังมีอีกหลายธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มากในประเทศญี่ปุ่น

หนึ่งในนั้นคือ Mitsubishi Estate ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มากด้วยประสบการณ์ยาวนานกว่า 130 ปี

เรื่องราวความร่วมมือของ AP Thailand และ Mitsubishi Estate เริ่มต้นจากการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย มีชื่อว่า “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด” ซึ่งนับว่าเป็นบริษัทร่วมทุนรายแรกและรายเดียว ที่จับมือกันอย่างเหนียวแน่นมากว่า 10 ปี

การจับมือกันในครั้งนี้ เป็นการเน้นพัฒนาคอนโดมิเนียมในไทย เจาะที่ดินแนวรถไฟฟ้าใจกลางกรุงเทพฯ โดยอาศัยการผสานจุดแข็งเข้าด้วยกัน ทั้ง AP Thailand ที่รู้อินไซต์คนไทยเป็นอย่างดี ในขณะที่ Mitsubishi Estate มากด้วยประสบการณ์การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มาแล้วทั่วโลก

อีกทั้งยังมี Key Success ที่สำคัญคือ ความจริงใจ ความเชื่อใจกันในทุกมิติ และเน้นการทำธุรกิจอย่างยั่งยืน มากกว่าแค่ผลตอบแทน

ทั้งหมดนี้ จึงทำให้การจับมือกันระหว่าง AP Thailand และ Mitsubishi Estate มีแต่ความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทย เติบโตทัดเทียมกับนานาประเทศ

ปัจจุบัน AP Thailand และ Mitsubishi Estate ร่วมกันพัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วกว่า 24 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 116,300 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ปิดการขายแล้วทั้งสิ้น 13 โครงการ

แม้ว่า AP Thailand และ Mitsubishi Estate จะจับมือร่วมกันมาเป็นเวลา 10 ปีแล้ว แต่ทั้งคู่ก็จะไม่หยุดยั้ง สานต่อการเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ภายใต้โรดแม็ป “From Strength to Strength” หรือการผสาน 2 จุดเด่น ให้กลายเป็นจุดแข็ง สร้างการเติบโตที่ไม่สิ้นสุด

ซึ่งถ้าถามว่า ภายใต้โรดแม็ป “From Strength to Strength” จะเป็นอย่างไรบ้าง ?

ต้องบอกว่าทั้ง 2 บริษัทจะยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนมากขึ้น มีการผสานความแข็งแกร่งของ AP Thailand ผู้นำในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในไทย เข้ากับ Mitsubishi Estate แห่ง System Process และเทคโนโลยีนวัตกรรมระดับโลก

ทำให้เกิดการผนึกกําลัง แชร์ทรัพยากรที่แข็งแกร่ง ยกระดับการพัฒนาศักยภาพ ผสานกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยเพิ่มทางเลือกใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมคอนโดมิเนียมของไทย

นอกจากนี้ ภายใต้โรดแม็ป “From Strength to Strength” บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนซ์ จำกัด ณ ปัจจุบันยังมีทุนจดทะเบียนมูลค่าสูงถึง 12,600 ล้านบาท

ซึ่งนอกจากจะแสดงถึงความแข็งแกร่งแล้ว ยังเป็นแบ็กอัปสำคัญในการผลักดันแผนการพัฒนาโครงการต่าง ๆ ในอนาคต

โครงการต่าง ๆ ที่ว่านี้ก็คือ THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี และ RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค 2 โครงการบิ๊กโปรเจกต์ระดับ Masterpiece ที่สุดของความภาคภูมิ

แล้วความน่าสนใจของ 2 โครงการบิ๊กโปรเจกต์ระดับ Masterpiece มีอะไรบ้าง ?

เริ่มกันที่ “THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี” โครงการมูลค่ากว่า 8,600 ล้านบาท เป็นโครงการระดับเพรสทีจ ลักซ์ ที่สุดของความละเมียดละไมอันทรงคุณค่า และความพิถีพิถัน ตั้งอยู่บนทำเลผืนงามใจกลางมหานคร เพียง 150 เมตร จาก BTS ราชเทวี

ซึ่ง THE ADDRESS สยาม-ราชเทวี พร้อมเผยโฉมความสวยงาม สะดุดทุกมุมมองเป็นครั้งแรก และเตรียมเปิดโอน ในวันที่ 26-27 สิงหาคมนี้

ขณะที่ “RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค” เป็นแฟล็กชิปโครงการร่วมทุนใหม่ล่าสุด มูลค่า 4,500 ล้านบาท บนทำเล 4 ไร่ ริมถนนเจริญนคร ตรงข้าม ICONSIAM และห่างจากสถานีรถไฟฟ้าสายสีทอง เจริญนคร เพียง 100 เมตร

นับว่าเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มไฮเอนด์ ที่สำคัญยังเป็นโครงการต้นแบบ ภายใต้แนวคิด “Super Condominium” ที่จะรวมความเป็นที่สุดไว้ในหนึ่งเดียว ได้แก่

- Super Design ที่สุดของเอกลักษณ์การออกแบบ ที่มีความลงตัวครบในทุกมิติ
- Super Radius ที่สุดบนทําเลที่ตั้งโครงการสุดไพร์ม ครบครันด้วยสิ่งอํานวยความสะดวก
- Super Blue Chip ที่สุดของคุณค่าและมูลค่าเพิ่ม สะท้อนผ่านแบรนด์และการพัฒนาโครงการให้เป็น แลนด์มาร์กคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ที่ดีที่สุด

โดย RHYTHM เจริญนคร ไอคอนิค เตรียมเปิดตัวในเดือนพฤศจิกายนนี้

สุดท้ายนี้ นอกเหนือจากความแข็งแกร่งของ AP Thailand และ Mitsubishi Estate คนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด คือ “ลูกค้า” ที่มีทางเลือกมากขึ้น และสามารถเข้าถึงคอนโดมิเนียมที่มีมาตรฐานได้นั่นเอง..