Meta เตรียมให้เงินสนับสนุน ครีเอเตอร์ Reels โดยวัดจาก “ความฮิต” ของวิดีโอ ที่ยิ่งฮิต ยิ่งได้เงินสนับสนุนมากขึ้น
10 พ.ค. 2023
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ถ้าใครจำกันได้ Meta ประกาศยุติโปรแกรม Reels Play Bonus ที่ให้เงินสนับสนุนครีเอเตอร์ ที่สามารถทำภารกิจ บน Reels เช่น มียอดผู้ติดตาม หรือยอดผู้ชม ได้ครบตามกำหนด
ส่งผลให้ครีเอเตอร์หลาย ๆ คนได้รับผลกระทบ มีรายได้ลดลง
ส่งผลให้ครีเอเตอร์หลาย ๆ คนได้รับผลกระทบ มีรายได้ลดลง
ล่าสุด Meta ประกาศเปิดตัวโปรแกรมใหม่ ที่จะให้เงินสนับสนุนครีเอเตอร์ Reels เหมือนเดิม
เพิ่มเติมคือ โปรแกรมการให้เงินสนับสนุนนี้ จะวัดจาก “ความฮิต” ของวิดิโอสั้น ที่ยิ่งฮิต ครีเอเตอร์ก็จะยิ่งได้รับเงินสนับสนุนมากขึ้น
เพิ่มเติมคือ โปรแกรมการให้เงินสนับสนุนนี้ จะวัดจาก “ความฮิต” ของวิดิโอสั้น ที่ยิ่งฮิต ครีเอเตอร์ก็จะยิ่งได้รับเงินสนับสนุนมากขึ้น
ทั้งนี้ อาจจะต้องรอรายละเอียดเพิ่มเติมว่า Meta จะมีการคำนวนการให้เงินสนับสนุนตามความฮิตอย่างไร
โดยข้อดีของการให้เงินสนับสนุนครีเอเตอร์ Reels โดยวัดจากความฮิตของคลิป คือ จะทำให้ครีเอเตอร์หันมาใส่ใจในการวิธีการทำ Reels มากขึ้น ทั้งคอนเทนต์ และรูปแบบต่าง ๆ
เนื่องจากถ้าทำออกมาดี และถูกใจผู้ชม จึงจะฮิต และทำให้ได้รับเงินสนับสนุนมากขึ้นนั่นเอง
เนื่องจากถ้าทำออกมาดี และถูกใจผู้ชม จึงจะฮิต และทำให้ได้รับเงินสนับสนุนมากขึ้นนั่นเอง
ซึ่งวิธีการนี้ แตกต่างจากการแบ่งรายได้จากโฆษณาให้ครีเอเตอร์
ที่ครีเอเตอร์จะได้มากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ แต่ขึ้นอยู่กับโฆษณาว่าจะขึ้นมาบ่อยและมีผู้ชมดูมากน้อยขนาดไหน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ครีเอเตอร์ไม่สามารถควบคุมได้เอง
ที่ครีเอเตอร์จะได้มากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคอนเทนต์ แต่ขึ้นอยู่กับโฆษณาว่าจะขึ้นมาบ่อยและมีผู้ชมดูมากน้อยขนาดไหน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ครีเอเตอร์ไม่สามารถควบคุมได้เอง
อย่างไรก็ดี Meta บอกว่า โปรแกรมนี้ จะเริ่มต้นใช้กับครีเอเตอร์ Reels ของ Facebook ก่อน
โดยจะต้องเป็นครีเอเตอร์ที่ได้รับคำเชิญ หรือเคยเข้าร่วมโปรแกรม Reels Play Bonus มาก่อนเท่านั้น
โดยจะต้องเป็นครีเอเตอร์ที่ได้รับคำเชิญ หรือเคยเข้าร่วมโปรแกรม Reels Play Bonus มาก่อนเท่านั้น
ส่วน Instagram ทางบริษัทจะทดลองโปรแกรมดังกล่าวกับครีเอเตอร์กลุ่มเล็ก ๆ ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ในช่วงที่ผ่านมา หลาย ๆ แพลตฟอร์ม Facebook และ Instagram ต่างก็สร้างแรงรูงใจให้ครีเอเตอร์หันมาผลิตคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มของตัวเองกันมากขึ้น
ยกตัวอย่างเช่น TikTok ที่มีโปรแกรม Pulse ที่จะแบ่งรายได้ครึ่งหนึ่ง หรือ 50% ของรายได้จากการโฆษณาให้ครีเอเตอร์