แม็กนา สรุปยอดเม็ดเงินสื่อโฆษณาทั่วโลกปี 65 ยังคงเติบโตกว่า 9% จบที่ 816,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ด้วยปัจจัยการเติบโตในใช้สื่อที่มากขึ้นต่อเนื่องจากปี 64
27 มี.ค. 2023
ล่าสุด แม็กนา หน่วยธุรกิจภายใต้ ไอพีจี มีเดียแบรนด์ส (IPG Mediabrands) ออกรายงาน MAGNA GLOBAL ADVERTISING FORECASTS ที่น่าสนใจเกี่ยวกับตลาดสื่อและโฆษณาทั่วโลกของปีที่ผ่านมา สรุปยอดเม็ดเงินสื่อโฆษณาทั่วโลกปี 65 ยังคงเติบโตกว่า 9% จบที่ 816,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 28.5 ล้านล้านบาทไทย ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 64 ที่เติบโตกว่า 22% หลังจากสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายลง โดยรายได้จากการโฆษณาในสื่อหลักอย่าง โทรทัศน์ วิทยุ สื่อนอกบ้าน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อภาพยนตร์ ได้รับความนิยมต่อเนื่องกว่า 4% หรือ 282,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
โดย สื่อนอกบ้าน ถือเป็นสื่อที่ทำรายได้มากที่สุด ต่อด้วยสื่อโทรทัศน์ และวิทยุตามลำดับ ทั้งนี้เม็ดเงินโฆษณาดิจิทัลยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น กว่า 13% หรือ 534,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันเม็ดเงินดิจิทัลทั้งหมดคิดเป็น 65% ของยอดขายโฆษณาทั้งหมดทั่วโลกซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 3% โดยสื่อดิจิทัลวิดีโอเติบโตมากที่สุดประมาณ 16% หรือ 68,000 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
คุณกนกวรรณ คุณาเรืองโรจน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายซื้อสื่อโฆษณา ของแม็กนา (MAGNA) ประเทศไทย “เงินสะพัดด้านสื่อโฆษณาของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกกลับมาเป็นปกติหลังจากการชะลอการเติบโต และติดลบในปี 2563 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลาดภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกส่วนใหญ่ฟื้นตัวจากการชะลอการเติบโตสู่การเติบโตในอัตราเลขสองหลักในปี 2564 นับตั้งแต่ปี 2563 โดยการเติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ส่วนใหญ่นั้นมีอัตราส่วนมาจากการเงินโฆษณาด้านสื่อดิจิทัล ในขณะเม็ดเงินโฆษณาในสื่อหลักอย่าง โทรทัศน์ วิทยุ สื่อนอกบ้าน สื่อสิ่งพิมพ์ และสื่อภาพยนตร์ ยังคงทะยอยฟื้นตัวกลับสู่ตัวเลขก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในตลาดส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ปีนี้คาดการณ์ได้ว่าสื่อดิจิทัลจะยังคงเป็นสื่อยอดนิยมและมีเงินสะพัดในการโฆษณาอย่างมหาศาลและต่อเนื่อง ซึ่งจะเกิดขึ้นกับตลาดส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกรวมถึงบางตลาดที่สื่อโทรทัศน์มีความนิยมสูงมาโดยตลอดจนกระทั้งช่วงสองสามปีหลัง ท้ายนี้สามารถสรุปได้ว่าเงินสะพัดบนสื่อโฆษณาดิจิทัลจะมีการเติบโตเร็วอย่างมาก ซึ่งเรียกได้ว่าเร็วมากกว่าการคาดการณ์ก่อนการเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เสียอีก”