กรุงศรี ฟินโนเวต เผยทิศทางและแนวโน้มการลงทุน ในสตาร์ตอัปของ Venture Capital ปี 2023
5 ก.ย. 2022
คุณแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ได้เผยทิศทางและแนวโน้มการลงทุนของเหล่า Venture Capital (VC) หรือธุรกิจเงินร่วมลงทุนทั่วโลกในปี 2023 ภายในงาน “KRUNGSRI ENVISIONING THE FUTURE” ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ก่อนที่จะให้ข้อมูลแนวโน้มการลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัปของกลุ่ม VC ในปี 2023 ที่กำลังจะมา
คุณแซม ได้เผยข้อสรุปการลงทุนตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาว่า
คุณแซม ได้เผยข้อสรุปการลงทุนตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมาว่า
การลงทุนในสตาร์ตอัปทั่วโลกช่วงปี 2018-2020 นั้น จะมีตัวเลขการลงทุนเท่า ๆ กัน
โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมต่อปีอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 290,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 10.6 ล้านล้านบาท)
โดยมีมูลค่าการลงทุนรวมต่อปีอยู่ที่เฉลี่ยปีละ 290,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 10.6 ล้านล้านบาท)
ขณะที่ปี 2021 นั้น นับเป็นปีทองของการลงทุน โดยทั่วโลกมีมูลค่าการลงทุนรวมแตะถึง 620,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 22.7 ล้านล้านบาท)
ซึ่งสำหรับในไทย ที่แม้ว่าจะอยู่ในช่วงวิกฤติโควิด แต่ก็มีมูลค่าการลงทุนสูงเช่นเดียวกัน
ส่วนทางกรุงศรี ฟินโนเวตเอง ก็เป็นปีที่ลงทุนมากที่สุด
ส่วนทางกรุงศรี ฟินโนเวตเอง ก็เป็นปีที่ลงทุนมากที่สุด
โดยมีเหตุและปัจจัยที่เอื้อต่อการตัดสินใจลงทุนที่เพิ่มขึ้นในปี 2021 คือความมั่นใจในการลงทุนในบริษัทที่สามารถอยู่รอดได้ในวิกฤติที่ผ่านมา รวมถึงการเจรจาร่วมลงทุนกับสตาร์ตอัปก็ทำได้ง่ายขึ้นในช่วงโควิด
พอมาสู่ปี 2022 ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงเดือนกรกฎาคมนั้น มีตัวเลขของการลงทุนลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งจะเห็นว่ายังไม่ถึง 50% ของปี 2021
แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าตัวเลขการลงทุนปี 2022 จะโตกว่าปี 2020 แน่นอน
แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าตัวเลขการลงทุนปี 2022 จะโตกว่าปี 2020 แน่นอน
คุณแซม ตันสกุล กล่าวต่อว่า
ในปัจจุบันนี้มีการเกิด Down Round หรือการที่ Valuation ของสตาร์ตอัปนั้น ตกลงกว่าที่เคยเป็น
มองว่าเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในยุคนี้หลาย ๆ สตาร์ตอัป ก็ยอมรับการ Down Round เนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่สวยหรูจากการ Projection ของ 5 ปีที่ผ่านมา
ในปัจจุบันนี้มีการเกิด Down Round หรือการที่ Valuation ของสตาร์ตอัปนั้น ตกลงกว่าที่เคยเป็น
มองว่าเป็นเรื่องปกติที่เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในยุคนี้หลาย ๆ สตาร์ตอัป ก็ยอมรับการ Down Round เนื่องจากสถานการณ์ที่ไม่สวยหรูจากการ Projection ของ 5 ปีที่ผ่านมา
ซึ่งในปัจจุบัน ตัวเลขของการลงทุนในสตาร์ตอัปทุกสเตจได้ลดลงกว่า 25% โดยเฉลี่ย ยิ่งเห็นได้ชัดในสตาร์ตอัปที่เป็น Late Stage
โดยในปี 2021 นั้น สหรัฐอเมริกาได้มีการปิดดีลการลงทุนใน Late Stage ประมาณ 700 ดีล แต่ในทางกลับกัน 2 ไตรมาสแรกของปี 2022 เกิดดีลการลงทุนเพียง 285 ดีลเท่านั้น
แต่ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่แย่มากเมื่อเทียบกับปี 2020 ที่ปิดดีลการลงทุนไปได้เพียง 272 ดีล
แต่ยังถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่แย่มากเมื่อเทียบกับปี 2020 ที่ปิดดีลการลงทุนไปได้เพียง 272 ดีล
“ซึ่ง 2 ไตรมาสแรกของปี 2022 นั้น จะเห็นได้ว่าสหรัฐอเมริกายังคงครองอันดับ 1 ในด้านตัวเลขการลงทุน ซึ่งมีมากกว่า 2,700 ดีล หรือเป็นตัวเลขการลงทุนอยู่ที่ 53,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.9 ล้านล้านบาท)
ส่วนเอเชียรองลงมา เป็นอันดับที่ 2 ตัวเลขมูลค่าการลงทุนอยู่ที่ 27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.0 ล้านล้านบาท) ซึ่งใหญ่กว่ายุโรป ตัวเลขนี้สะท้อนว่าตลาดเอเชียยังเป็นตลาดใหญ่
ถ้าเป็นสมัยก่อนก็จะไปกระจุกที่ประเทศจีน แต่ ณ วันนี้เริ่มกระจายออกแล้ว โดยกระจายไปทางอินเดีย อินโดนีเซีย ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่าอินโดนีเซียมีหลาย Unicorn ที่เกิดขึ้นมาในช่วงปีหลังนี้
ถัดลงมาก็เป็นที่สิงคโปร์ ส่วนประเทศไทยนั้น Fund Flow ก็เริ่มมาแล้วเช่นกัน”
ถัดลงมาก็เป็นที่สิงคโปร์ ส่วนประเทศไทยนั้น Fund Flow ก็เริ่มมาแล้วเช่นกัน”
นอกจากนี้ คุณแซม ยังเผยถึง 6 Tech ที่ Venture Capital สนใจจะลงทุนในปี 2023 เพื่อให้เป็นข้อมูลกับสตาร์ตอัปไทย
1) DeFi หรือที่เราเรียกว่า Decentralized Finance วันนี้เราเห็นการเติบโตของ Decentralized Finance สูงขึ้นมากมีเทคโนโลยีที่ต้องการตัดคนกลางออก เราเห็นตลาดของ DeFi ที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
2) Metaverse คือกลุ่มหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก จากการที่ตลาดกำลังพัฒนาใน web 3.0
3) Cyber Security ยังคงมาแรงอยู่เรื่อย ๆ และกระโดดขึ้นมากในปี 2021 เนื่องจากเมื่อมีการเพิ่มขึ้นของการทำธุรกรรมไร้ตัวกลาง ก็ทำให้เกิดอาชญากรรมทางออนไลน์เพิ่มมากขึ้นตามด้วย
4) Climate Tech / ESG ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปคนจะไปลงทุนในกลุ่มนี้มากขึ้นเพราะเราเชื่อว่าบริษัทไหนก็ตามที่ใส่ใจในเรื่องของ Sustainability, ESG, Climate Tech, Climate Change จะถือเป็นบริษัทที่ดี และจะใช้ของที่ดีให้กับลูกค้า
5) Buy Now Pay Later (BNPL) จริง ๆ แล้วธุรกิจนี้จะโฟกัสที่คนที่ยังไม่มีเครดิต หรือสมัครบัตรเครดิตไม่ผ่าน ซึ่งจะช่วยให้กลุ่มคนเหล่านี้สามารถซื้อสินค้า สมัคร แล้วจ่ายชำระหรือผ่อนได้เลย
6) Ultrafast Delivery ธุรกิจนี้เริ่มมีมานานแล้วและมีจำนวนมากมาย โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งความเร็วในการส่งของให้ลูกค้านั้นเริ่มเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับธุรกิจกลุ่มนี้ โดยมีสตาร์ตอัปที่สามารถส่งของให้ลูกค้าภายในเวลา 15 นาที