KBank ทุ่ม 15,000 ล้าน ผนึกกลุ่มคาราบาว พัฒนาร้านค้าปลีก ที่ช่วยปล่อยสินเชื่อ ผ่านข้อมูลการใช้จ่าย
22 ก.ค. 2022
นายพัชร สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ชุมชนนอกตัวเมืองในจังหวัดต่าง ๆ เป็นพื้นที่ที่ลูกค้ามีความต้องการใช้บริการการเงิน
บางส่วนไม่มีบัญชีเงินฝาก ไม่มีหลักฐานการเงินที่ทำให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และเป็นพื้นที่ที่สาขาของธนาคารยังเข้าไม่ถึง
การร่วมลงทุนกับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจ คาราบาว” เป็นยุทธศาสตร์ของธนาคารที่ตั้งใจพัฒนาร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของชุมชน
ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงจรของ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ตั้งแต่เจ้าของร้าน คู่ค้า ชาวบ้านในชุมชน
สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
สามารถจับจ่ายใช้สอยและใช้บริการการเงินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น
รวมถึงสามารถเข้าถึงสินเชื่อธนาคารได้ง่ายขึ้น
สร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน
สร้างรายได้หมุนเวียนขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชน
การพัฒนา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” ที่ธนาคารมีแผนดำเนินการร่วมกับบริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว ประกอบด้วย 3 ด้าน ได้แก่
1)ส่งเสริมศักยภาพของร้าน “ถูกดี มีมาตรฐาน” ให้เป็นร้านสะดวกซื้อชุมชน ที่เป็นรากฐานเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ
โดยใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการร้าน และระบบการชำระเงินต่าง ๆ
โดยใช้เทคโนโลยีการบริหารจัดการร้าน และระบบการชำระเงินต่าง ๆ
2)เป็นแหล่งเงินทุนสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันและค้าขายต่าง ๆ โดยธนาคารนำข้อมูลการจับจ่ายในชีวิตประจำวันมาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ
ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ไม่มีหลักฐานแสดงรายได้ประจำ หรือเจ้าของร้านค้าที่ต้องการเงินทุนหมุนเวียนภายในร้าน
3)เป็นจุดให้บริการธุรกรรมการเงินที่ใช้ในชีวิตประจำวันกับคนในชุมชน เช่น บริการถอนเงิน, จ่ายบิล
รวมทั้งเพิ่มบริการดิจิทัลต่าง ๆ เช่น สแกนจ่ายด้วยคิวอาร์ โค้ด
รวมทั้งเพิ่มบริการดิจิทัลต่าง ๆ เช่น สแกนจ่ายด้วยคิวอาร์ โค้ด
ความร่วมมือนี้ จะทำให้ธนาคารมีจุดบริการเคแบงก์ เซอร์วิส (KBank Service) เพิ่มขึ้นอีก 30,000 จุด จากเดิมมีจำนวนกว่า 27,000 จุด เพิ่มช่องทางการให้บริการได้ลึกถึงแหล่งชุมชนและครอบคลุมทั่วประเทศ
โดยปัจจุบัน ธนาคารมีช่องทางให้บริการผ่านสาขาจำนวน 830 สาขา
ตู้เอทีเอ็มและตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ รวม 11,000 ตู้
และ K PLUS ที่มีลูกค้าใช้งานกว่า 18 ล้านราย
ตู้เอทีเอ็มและตู้ฝากถอนเงินอัตโนมัติ รวม 11,000 ตู้
และ K PLUS ที่มีลูกค้าใช้งานกว่า 18 ล้านราย
ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนของธนาคารรวมกว่า 15,000 ล้านบาท ครอบคลุม
-การร่วมลงทุนผ่านตราสารการลงทุนที่ให้สิทธิลงทุนในหุ้นของบริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เป็นจำนวน 5,000 ล้านบาท
-เตรียมทยอยร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุน เพื่อให้บริการสินเชื่อเต็มรูปแบบ เป็นจำนวน 2,000 ล้านบาท
-การสนับสนุนทางการเงินให้กับ “บริษัทในกลุ่มธุรกิจคาราบาว” เป็นจำนวน 8,000 ล้านบาท
นายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด เปิดเผยว่า
ยุทธศาสตร์ของบริษัทในการพัฒนา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” นั้น บริษัทไม่ได้มองเพียงการเข้ามาพัฒนาและปรับร้านโชห่วยให้มีความทันสมัยเท่านั้น
ยุทธศาสตร์ของบริษัทในการพัฒนา “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” นั้น บริษัทไม่ได้มองเพียงการเข้ามาพัฒนาและปรับร้านโชห่วยให้มีความทันสมัยเท่านั้น
แต่วางเป้าหมายให้ร้านถูกดีฯ เป็นเสมือน “แพลตฟอร์ม”และ “โครงข่าย” ที่เชื่อมโยงกันเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในชุมชนทั่วประเทศ และเชื่อมต่อผู้ผลิต และผู้ให้บริการต่าง ๆ ที่คนในชุมชนเคยเข้าถึงได้ยาก
เช่น บริการทางการเงิน, เป็นจุดรับส่งสินค้าในชุมชน, บริการสินค้าทางการเกษตร ฯลฯ โดยเฉพาะในชุมชน หมู่บ้านที่ห่างไกล ที่สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ยังเข้าไม่ถึง
โดยตั้งเป้าให้ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เป็น “โซลูชัน” ที่จะเข้าไปตอบโจทย์และเพิ่มความสะดวกให้คนในชุมชน ทำให้การใช้ชีวิตของผู้บริโภคทั่วประเทศง่ายขึ้น
ซึ่งความร่วมมือกับธนาคารกสิกรไทยในครั้งนี้ เป็นหนึ่งใน กลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้บริษัทบรรลุเป้าหมายดังกล่าว
ทั้งนี้ “ร้านถูกดี มีมาตรฐาน” เป็นโครงข่ายร้านค้าปลีก ภายใต้การบริหารงานของนายเสถียร เศรษฐสิทธิ์ ประธานกรรมการ บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด
โดยถือเป็นร้านสะดวกซื้อชุมชนที่เติบโตเร็วที่สุด ปัจจุบันมีจำนวนร้านที่เปิดแล้วกว่า 5,000 ร้านค้าทั่วประเทศ