ครั้งแรกของ “Thailand Digital Valley” AIS จับมือ depa สร้างศูนย์กลางนวัตกรรมและการทดสอบเทคโนโลยี 5G แห่งแรกที่ EEC อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
16 มิ.ย. 2022
AIS ยังคงเดินหน้าวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีหรือ Digital Infrastructure โดยเฉพาะการนำโครงข่ายอัจฉริยะ 5G มาเสริมศักยภาพให้กับทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
โดยล่าสุดได้ประกาศความร่วมมือกับทางสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า สร้างศูนย์กลางนวัตกรรมและการทดสอบเทคโนโลยี 5G แห่งแรกในประเทศไทย AIS 5G NEXTGen Center ที่ Thailand Digital Valley บนพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC
รวมถึงเปิดตัว AIS 5G NEXTGen Platform สำหรับการพัฒนา 5G Use Cases แห่งแรกในประเทศไทย
พร้อมกันนี้ยังได้ขยายผลการดำเนินงานผสานความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลก ทั้ง Singtel, NCS และ Siemens เพื่อนำเอาโซลูชันและบริการใหม่ ๆ มาต่อยอดสู่การทรานส์ฟอร์มองค์กรทั้งภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมและภาครัฐในอนาคตผ่านแนวคิด AIS 5G NEXTGen for Business
โดยประกาศขึ้นภายในงาน Thailand 5G Summit 2022 หรืองานแสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยี 5G ระดับประเทศ เพื่อร่วมกันสร้างความสมบูรณ์ของ 5G Ecosystem ให้กับภาคธุรกิจไทยในอนาคต
คุณธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า
“วันนี้ AIS ยังคงเดินหน้าวางโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการใช้ชีวิตของคนไทย โดยเฉพาะในด้านการทำงานกับภาคธุรกิจเพื่อให้ผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถทรานสฟอร์มองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีเครื่องมือด้านดิจิทัลที่สามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน”
ด้วยศักยภาพของ AIS เป้าหมายในปีนี้เราพร้อมนำเอาโครงข่าย 5G ที่เราได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องเข้ามาทำงานกับภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม กลุ่มผู้ประกอบการ และภาครัฐ
โดยหนึ่งในนั้นคือการทำงานร่วมกับ ดีป้า พัฒนา AIS 5G NEXTGen Center บนพื้นที่ EEC โดยเราได้นำเอาศักยภาพ 5G ที่ครอบคลุมแล้ว 100% มาเปิดโอกาสให้กลุ่มองค์กรธุรกิจเข้ามาสัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการใช้ 5G
ทั้งในแง่ของการเป็นศูนย์เรียนรู้ การทดสอบทดลอง สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ตลอดจนการร่วมพัฒนาโซลูชันที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการสร้าง 5G Ecosystem ให้เกิดความสมบูรณ์
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า กล่าวว่า
“ดีป้า มีเป้าหมายสำคัญในการสร้างเครือข่ายพันธมิตรเทคโนโลยี 5G ขึ้นในประเทศไทย (Thailand 5G Alliance)”
โดยจะนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมที่ใชใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี 5G เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันและเป็นแนวทางในการนำนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาขึ้นมาต่อยอดประยุกต์ใช้จริง
ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยหนึ่งในการดำเนินงานที่สำคัญคือ การพัฒนาโครงการ Thailand Digital Valley ในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี
โดยภายใน Thailand Digital Valley จะมีอาคาร TDV2 หรือ Digital Startup Knowledge Exchange Center พื้นที่กว่า 4,500 ตารางเมตร
ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อเป็นพื้นที่พบปะ แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล สร้างเครือข่ายที่พร้อมต่อยอดธุรกิจดิจิทัล รองรับการอยู่อาศัยของเหล่านักพัฒนาและดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยให้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่รวบรวมบรรดาผู้ประกอบการสตาร์ทอัพ (Startup Community) ไว้มากที่สุดในประเทศ
โดยพื้นที่ดังกล่าว AIS ได้เข้ามาพัฒนา AIS 5G NEXTGen Center หรือศูนย์กลางนวัตกรรมและทดสอบ 5G เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่ม Digital Tech สามารถทดสอบใช้บริการเครือข่าย AIS 5G อันจะนำไปสู่การต่อยอดการสร้างธุรกิจดิจิทัล หรือโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ ในอนาคต
คุณธนพงษ์ กล่าวต่อไปอีกว่า “AIS ในฐานะผู้บริการด้านดิจิทัลแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีหลักที่สำคัญต่อการบริหารจัดการยุคนี้ ประกอบด้วย โซลูชันคลาวด์ (Cloud), บริการความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security), บริการ IoT (Internet of Things) และบริการด้านไอซีทีโซลูชัน (ICT Solution)
วันนี้เราได้เดินหน้าต่อยอดไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัว 5G แพลตฟอร์ม และ MEC (Multi-access Edge Compute) แพลตฟอร์ม เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในชื่อ AIS 5G NEXTGen Platform
ซึ่งจะทำให้การใช้งาน 5G application ต่าง ๆ สามารถทำได้ง่ายขึ้น, เร็วขึ้น, มีประสิทธิภาพและประหยัดกว่า เหมาะกับการใช้งาน 5G ที่ต้องการความหน่วงต่ำ, การตอบสนองรวดเร็ว, การเก็บรักษาข้อมูลภายในประเทศ, หรือโครงสร้างพื้นฐานสำหรับงานที่สำคัญและมีขนาดใหญ่
ที่สำคัญคือ AIS 5G NEXTGen Platform จะรวบรวมการบริหารใช้งานทั้ง เครือข่าย 5G, ความสามารถของ Network Slicing, Edge Compute (MEC), ผู้ให้บริการ Cloud hyper-scalers ชั้นนำ, และ application ต่าง ๆ ไว้ด้วยกัน ทำให้หน่วยงานธุรกิจและภาครัฐ, ผู้ให้บริการ application และ solution ต่างๆ, และ system integrators สามารถบูรณาการและให้บริการ 5G solutions ได้อย่างครบวงจร
นอกจากนั้นยังมีจุดเด่นที่น่าสนใจ ดังนี้
- ความสามารถในการบริหารจัดการและใช้งาน applications ต่าง ๆ ได้จากทุกที่ โดยลูกค้าสามารถใช้ AIS 5G NEXTGen Platform ในการใช้งาน applications บน 5G Private Network และ MEC ภายในพื้นที่ของตนเอง, หรือบน 5G Private Network และ MEC ที่ใช้ร่วมกันในพื้นที่, หรือบนผู้ให้บริการ Public Cloud ชั้นนำก็ได้ อีกทั้งยังสามารถใช้งานและบริหารในรูปแบบHybrid ข้ามระหว่าง Edge กับ Cloud โดยอาศัยความสามารถของ AIS 5G NEXTGen Platform
- End to End Visibility ที่ผู้ใช้งานสามารถติดตาม performance และ utilization ของ MEC infrastructure, MEC applications และ resources ต่าง ๆ ที่ถูกใช้ได้อย่างละเอียด ด้วยการใช้งานผ่าน analytics dashboard ภายใน AIS NEXTGen Platform ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมและติดตามการใช้งาน application ต่าง ๆ ได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
- Enterprise Application Marketplace ที่ AIS ได้ร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งจะนำ 5G applications มาให้บริการบน AIS 5G NEXTGen Platform อาทิ Metaverse, Video Analytics, AI Computer Vision, Quality Inspection, Drone, AR/VR, Robotics และอื่น ๆ
ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาและเลือก applications จาก marketplace เพื่อนำไปตอบโจทย์ทางธุรกิจ และใช้งานได้อย่างรวดเร็วบน Edge หรือ Cloud ผ่าน AIS 5G NEXTGen Platform
ในทางกลับกัน ผู้ให้บริการ applications หรือ solutions ต่างๆ ก็สามารถให้บริการแก่ลูกค้ารายอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ด้วยการให้บริการบน platform โดยการ set up เพียงครั้งเดียว
“อย่างที่เคยเน้นย้ำมาโดยตลอด ในปีนี้ AIS พร้อมที่จะนำเอานำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนภาคธุรกิจไทยให้สามารถทรานสฟอร์มองค์กรและมีเครื่องมือดิจิทัลที่พร้อมสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยใช้เทคโนโลยีอัจฉริยะ 5G มาร่วมขับเคลื่อน สร้าง 5G Ecosystem ให้เกิดขึ้นกับภาคธุรกิจไทย ร่วมกันกับพันธมิตรจากหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ อันจะนำไปสู่การการเสริมแกร่งให้เครื่องยนต์เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน”