กองทุนสตาร์ตอัป SeaX Ventures เตรียม 1,500 ล้านบาท ลงทุน Deep Tech เร่งสปีดทรานส์ฟอร์มองค์กรไทย
1 ต.ค. 2021
กองทุนสัญชาติไทย SeaX Ventures ที่เน้นการลงทุนในสตาร์ตอัปทั่วโลกที่มี Deep Technology หรือเทคโนโลยีขั้นสูง ได้ฉลองครบรอบก่อตั้งกองทุน 3 ปี กับ 2 สตาร์ตอัปยูนิคอร์น และเงินลงทุนรวมกว่า 1,500 ล้านบาท ที่มีผู้บริหารระดับสูงจากบริษัทจดทะเบียนหลายรายร่วมลงทุน
ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อเฟ้นหาสตาร์ตอัประดับโลกที่มี Synergy กับองค์กรชั้นนำระดับภูมิภาค, พัฒนานวัตกรรม, สร้างผลตอบแทน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กองทุน SeaX Ventures จะดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือกับ RISE สถาบันเร่งสปีดนวัตกรรมองค์กร
ลงทุนในสตาร์ตอัประยะเริ่มต้นและระยะเติบโตที่มี Deep Technology ใน 6 ด้าน และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ทั้งในอาเซียนและซิลิคอนแวลลีย์
ลงทุนในสตาร์ตอัประยะเริ่มต้นและระยะเติบโตที่มี Deep Technology ใน 6 ด้าน และมีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาคต ทั้งในอาเซียนและซิลิคอนแวลลีย์
ได้แก่ Blockchain, Foodtech, Biotech & Life Science, Artificial Intelligence, Robotics และ IoT & Hardware
โดยอาศัยเครือข่ายของ RISE ที่มีอยู่กับ Incubator และ Accelerator ทั่วโลก รวมไปถึงการเข้าถึงฐานข้อมูลของ Founder ที่จบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ อาทิ Harvard, MIT หรือ Stanford
ทำให้สามารถเฟ้นหาสตาร์ตอัป ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนในระยะยาว แต่ยังสามารถช่วยเร่งสปีดการทรานส์ฟอร์มองค์กรในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี
ทำให้สามารถเฟ้นหาสตาร์ตอัป ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างผลตอบแทนในระยะยาว แต่ยังสามารถช่วยเร่งสปีดการทรานส์ฟอร์มองค์กรในระยะสั้นได้เป็นอย่างดี
ทางด้าน นายแพทย์ศุภชัย ปาจริยานนท์ Managing Partner ของ SeaX Ventures กล่าวว่า
Deep Technology นับว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่จะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเพิ่มรายได้, ลดรายจ่าย และเพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ผ่านการร่วมทุนหรือ Joint Venture
Deep Technology นับว่าเป็นตัวเปลี่ยนเกมที่จะทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถเพิ่มรายได้, ลดรายจ่าย และเพิ่มโอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ ผ่านการร่วมทุนหรือ Joint Venture
ซึ่งสำหรับองค์กรที่มาลงทุนกับ SeaX Ventures ถือว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว คือ
- ได้เรียนรู้จากสตาร์ตอัปที่มี Deep Technology มาปรับใช้กับองค์กรได้ทันที
- โอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน
- โอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ไปกับสตาร์ตอัปที่มี Deep Technology และมี Synergy ตรงกับธุรกิจขององค์กร
- ได้เรียนรู้จากสตาร์ตอัปที่มี Deep Technology มาปรับใช้กับองค์กรได้ทันที
- โอกาสในการสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน
- โอกาสในการสร้างธุรกิจใหม่ไปกับสตาร์ตอัปที่มี Deep Technology และมี Synergy ตรงกับธุรกิจขององค์กร
โดยนายแพทย์ศุภชัย ได้ชู 3 จุดแข็งที่ทำให้การลงทุนในกองทุนสตาร์ตอัป SeaX Ventures มีความแตกต่าง ดังนี้
1.Exclusive Access to World-class Deep Tech Startups : เปิดโอกาสให้องค์กรไทยเข้าถึง Deep Technology จากทั่วโลกผ่านการลงทุนในสตาร์ตอัปที่มีผู้ก่อตั้งระดับโลก พร้อมศักยภาพในการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงและมีโอกาสในการเติบโตของธุรกิจอย่างก้าวกระโดด
2.Strategic Collaboration Beyond Investment : เน้นการลงทุนในสตาร์ตอัปที่มีเทคโนโลยีที่องค์กรไทยสามารถสร้างความร่วมมือและพัฒนาต่อยอดธุรกิจและนวัตกรรมร่วมกันได้ ไม่ใช่เพียงแค่การลงทุนเท่านั้น
3.Exponential Returns on Investment : โอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่น่าพอใจ
ซึ่งจากความสำเร็จของกองทุนแรกของ SeaX Ventures ได้สร้างผลตอบแทนคิดเป็น 308% ของอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR)
ซึ่งจากความสำเร็จของกองทุนแรกของ SeaX Ventures ได้สร้างผลตอบแทนคิดเป็น 308% ของอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR)
ทั้งนี้ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา SeaX Ventures ได้ลงทุนในสตาร์ตอัปไปแล้ว 10 บริษัท และวางแผนจะลงทุนเพิ่มอีก 30 บริษัท โดยสัดส่วนการลงทุนของ SeaX Ventures จะอยู่ที่การลงทุนในสตาร์ตอัปสหรัฐอเมริกา 70% และสตาร์ตอัปในอาเซียนหรือที่อื่น ๆ รวมกัน 30%
โดยที่ผ่านมา มี 2 Blockchain Startupsในพอร์ตการลงทุน อย่าง Solana Blockchain เจ้าของฉายา Ethereum Killer ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ และ Band Protocol Blockchain Startup ของคนไทย ที่มีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบาท ขึ้นแท่นเป็นคริปโตคอร์น (สตาร์ตอัปยูนิคอร์นด้าน Cryptocurrency) ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
จากความสำเร็จของกองทุนแรก ปัจจุบัน SeaX Ventures มีเงินลงทุนภายใต้การบริหารรวมกว่า 1.5 พันล้านบาท (ณ 31 สิงหาคม 2564)
ซึ่งในปีนี้ SeaX Ventures ได้เปิดกองทุนใหม่ และได้ผลการตอบรับอย่างดีจาก เจ้าของกิจการ, ผู้บริหารระดับสูง รวมไปถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกหลายแห่ง อาทิ
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
และยังมีนักลงทุนรายอื่น ๆ อีกมากมาย
นายบรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
และยังมีนักลงทุนรายอื่น ๆ อีกมากมาย
ส่วนในด้านนักลงทุนสถาบันจากองค์กรชั้นนำ อาทิ
กองทุน สิงห์ เวนเจอร์ส, บริษัท วัชรพล จำกัด (ไทยรัฐ), บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ,บริษัท บีซีเอช เวนเจอร์ส จำกัด ในกลุ่มบริษัทเบญจจินดา
กองทุน สิงห์ เวนเจอร์ส, บริษัท วัชรพล จำกัด (ไทยรัฐ), บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน)
บริษัท โมเดอร์นฟอร์มกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ,บริษัท บีซีเอช เวนเจอร์ส จำกัด ในกลุ่มบริษัทเบญจจินดา
นอกจากนี้แล้ว นายแพทย์ศุภชัย ยังได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า
“ทีมงาน SeaX Ventures รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน
เราตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนและการเติบโตทางธุรกิจให้กับนักลงทุนและสตาร์ตอัป รวมทั้งผลักดันการเติบโตของ Deep Technology ในภูมิภาค เพื่อสร้าง Synergy ให้กับธุรกิจ เร่งสปีดการทรานส์ฟอร์มองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมและ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปพร้อมกันกับนักลงทุนของเรา”
“ทีมงาน SeaX Ventures รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้รับความไว้วางใจจากนักลงทุน
เราตั้งเป้าสร้างผลตอบแทนและการเติบโตทางธุรกิจให้กับนักลงทุนและสตาร์ตอัป รวมทั้งผลักดันการเติบโตของ Deep Technology ในภูมิภาค เพื่อสร้าง Synergy ให้กับธุรกิจ เร่งสปีดการทรานส์ฟอร์มองค์กรอย่างเป็นรูปธรรมและ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปพร้อมกันกับนักลงทุนของเรา”