ตลาดโปรตีนทางเลือก ที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ ในไทย จะมีมูลค่า 4,500 ล้านบาท และโตเฉลี่ย 8% ต่อปี - ศูนย์วิจัยกสิกรไทย
9 ส.ค. 2021
หนึ่งใน Food Tech ที่กำลังอยู่ในกระแสบริโภคอย่างโปรตีนทางเลือก ถือว่าเติบโตโดดเด่นในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากพฤติกรรมของผู้บริโภคทั่วโลก ที่ตื่นตัวกับการเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพ
การตระหนักถึงการบริโภคที่คำนึงถึงผลกระทบของสิ่งแวดล้อม, แรงงานและสวัสดิภาพสัตว์ รวมถึงความกังวลต่อปัญหาความมั่นคงทางอาหาร (Food Security)
นอกจากนี้ ภายใต้สถานการณ์การระบาดของโควิด ที่ผู้บริโภคค่อนข้างกังวลต่อความปลอดภัยจากการบริโภคเนื้อสัตว์ (ที่อาจพบการปนเปื้อน รวมถึงโรคต่าง ๆ ที่มาจากสัตว์)
รวมถึงภาวะขาดแคลนเนื้อสัตว์ในระยะสั้น จากระบบการผลิตที่หยุดชะงัก ยังส่งผลให้โปรตีนทางเลือกมีโอกาสทำตลาดได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
รวมถึงภาวะขาดแคลนเนื้อสัตว์ในระยะสั้น จากระบบการผลิตที่หยุดชะงัก ยังส่งผลให้โปรตีนทางเลือกมีโอกาสทำตลาดได้มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
สำหรับไทย สินค้ากลุ่มโปรตีนทางเลือกดั้งเดิมที่ผู้บริโภคคุ้นเคย จะอยู่ในกลุ่มโปรตีนเกษตร เครื่องดื่มนมถั่วเหลือง ซึ่งสามารถผลิตได้โดยกระบวนการผลิตที่ไม่ซับซ้อนมากนัก
แต่ปัจจุบันพบว่า สินค้าโปรตีนทางเลือกในกลุ่มนวัตกรรมอาหารใหม่ ที่ต้องใช้เทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงและซับซ้อนมากขึ้น เพื่อพัฒนาให้มีรสชาติ เนื้อสัมผัส ตลอดจนรูปลักษณ์ที่คล้ายผลิตภัณฑ์จากสัตว์มากที่สุด
ได้ถูกผลิตโดยผู้ประกอบการไทยและทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งที่มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ กลุ่ม Startup รวมถึง SMEs บางรายที่มีศักยภาพ
ได้ถูกผลิตโดยผู้ประกอบการไทยและทยอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ทั้งที่มาจากผู้ประกอบการรายใหญ่ กลุ่ม Startup รวมถึง SMEs บางรายที่มีศักยภาพ
โดยสินค้าส่วนใหญ่ ที่วางจำหน่ายจะอยู่ในกลุ่มของโปรตีนจากพืชในรูปแบบเนื้อสัตว์ทดแทน (Plant-based Meat) เช่น เนื้อบดจากพืช, เบอร์เกอร์หมูจากพืช
กลุ่มอาหารสำเร็จรูปพร้อมทาน (Plant-based Meal) เช่น ซาลาเปาเนื้อจากพืช, ข้าวกะเพราเนื้อจากพืช
ผลิตภัณฑ์จากนมที่มาจากพืชทางเลือก (Plant-based Milk & Diary Products) เช่น นมอัลมอนด์, มายองเนส-น้ำสลัดจากพืช
รวมถึงผลิตภัณฑ์แมลงแปรรูป (Insect Protein Products) เช่น ผงโปรตีนจากแมลง, ไส้กรอกจากแมลง เป็นต้น
ทั้งนี้ ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ในตลาดที่มากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากจำนวนผู้ประกอบการที่มากขึ้นและผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าง่ายขึ้น โดยเฉพาะการเลือกซื้อผ่านหลากหลายช่องทางจำหน่ายที่สำคัญอย่างร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (ซูเปอร์มาร์เก็ต, ร้านสะดวกซื้อ) อีกทั้งยังมีช่องทางอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์
รวมถึงธุรกิจ Food Service ที่เพิ่มเมนูโปรตีนทางเลือกเพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภค บวกกับความต้องการที่มาจากกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และกลุ่ม Flexitarian (ผู้บริโภคมังสวิรัติแบบยืดหยุ่น) โดยเฉพาะวัยรุ่น-วัยทำงาน ที่เริ่มหันมาดูแลสุขภาพและรูปร่าง, ชอบออกกำลังกาย และมีพฤติกรรมชอบทดลองสินค้าอาหารกลุ่มใหม่ ๆ ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเช่นกัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าตลาดโปรตีนทางเลือกในไทย จะอยู่ในช่วงเริ่มต้นและยังมีช่องว่างทางการตลาดให้เติบโตได้ แต่ยังมีปัจจัยท้าทายหลายประการที่เป็นข้อจำกัดและจะต้องคำนึงถึง หากต้องการจะเข้ามาแข่งขันในตลาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของรสชาติและราคา
เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่มีความหลากหลายของอาหารสูง ทั้งในเรื่องของประเภทอาหารและระดับราคา ประกอบกับในปัจจุบันผู้บริโภคยังคงเผชิญกับกำลังซื้อที่เปราะบางจากการระบาดของโควิดที่รุนแรงขึ้น จึงมีความอ่อนไหวด้านราคาอยู่พอสมควร
ส่งผลให้ผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการลดการบริโภคเนื้อสัตว์และกลุ่ม Flexitarian มีทางเลือกในการเลือกบริโภคที่สามารถทดแทนกันได้ และมีโอกาสปรับพฤติกรรมการเลือกซื้อหรือบริโภคได้ตลอดเวลา
สะท้อนจากผลการสำรวจที่ระบุว่า 83% ของกลุ่มตัวอย่าง มีความเต็มใจจ่ายให้กับสินค้าในกลุ่มโปรตีนทางเลือกที่ระดับราคามากกว่าผลิตภัณฑ์เดียวกันที่มาจากผลิตภัณฑ์จากสัตว์ไม่เกิน 10%
นอกจากนี้ ในเรื่องของคุณค่าของสารอาหารก็เป็นอีกหนึ่งประเด็น ที่จะมีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น ผู้บริโภคกลุ่มวีแกนที่มีวิถีการบริโภคที่คุ้นชินกับการไม่บริโภคผลิตภัณฑ์จากสัตว์อย่างเคร่งครัด บางรายอาจได้รับสารอาหารที่ร่างกายต้องการไม่ครบถ้วน
การเข้ามาของโปรตีนทางเลือกจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกบริโภคเพื่อให้ได้สารอาหารทดแทนที่เพิ่มขึ้น
หรือผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพ การเลือกซื้ออาหารเพื่อบริโภคมักจะคำนึงถึงคุณค่าทางสารอาหาร ความปลอดภัยที่จะได้รับจากส่วนประกอบที่มีอยู่ในอาหารมาเป็นอันดับต้น ๆ
ดังนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องตระหนักและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคเห็นถึงคุณค่าของสารอาหารที่จะได้รับ ตลอดจนความปลอดภัยด้านอาหาร เช่น ความปลอดภัยจากการปนเปื้อน, การลดสารปรุงแต่งหรือส่วนประกอบที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับร่างกาย
ซึ่งหากทำได้ก็อาจทำให้การเติบโตของตลาดขยายได้กว้างมากขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายเดิม และโอกาสที่จะเข้าไปเจาะตลาดผู้บริโภคใหม่ ๆ เช่น กลุ่มผู้สูงอายุ, ผู้ป่วยหรือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการบริโภคโปรตีนจากผลิตภัณฑ์สัตว์
โดยสรุป จากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงคาดว่า ปี 2564
ตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในไทย น่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 12% ของตลาดโปรตีนทางเลือกทั้งหมดในไทย ที่มีมูลค่ากว่า 36,200 ล้านบาท
ตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมอาหารใหม่ในไทย น่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 12% ของตลาดโปรตีนทางเลือกทั้งหมดในไทย ที่มีมูลค่ากว่า 36,200 ล้านบาท
และมูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมใหม่ มีโอกาสขยับไปสู่ 5,670 ล้านบาท ได้ภายในปี 2567 (CAGR 2564-2567: 8% ต่อปี)
โดยปัจจุบันโปรตีนทางเลือกที่มาจากนวัตกรรมใหม่ในไทย ส่วนใหญ่กว่า 89% ของมูลค่าตลาดรวมจะอยู่ในกลุ่มอาหาร ส่วนอีก 11% จะอยู่ในกลุ่มเครื่องดื่ม
อย่างไรก็ดี มูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือก นับว่ายังมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มโปรตีนทั้งหมดในไทยที่มีกว่า 6.5 แสนล้านบาท
อย่างไรก็ดี มูลค่าตลาดโปรตีนทางเลือก นับว่ายังมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดอาหารและเครื่องดื่มกลุ่มโปรตีนทั้งหมดในไทยที่มีกว่า 6.5 แสนล้านบาท
ดังนั้น ช่องว่างทางการตลาดยังมีอีกมากสำหรับการเติบโต แต่ผู้ประกอบการจะต้องเร่งพัฒนาและสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของรสชาติและคุณค่าทางสารอาหาร รวมถึงระดับราคาที่สามารถแข่งขันได้
ซึ่งการขับเคลื่อนตลาดน่าจะมาจากผู้ประกอบการรายใหญ่มากกว่า SMEs เนื่องจากมีความได้เปรียบเรื่องศักยภาพในการผลิตและช่องทางการจำหน่าย
ดังนั้น นอกจากการพัฒนาจุดแข็งเรื่องรสชาติของอาหารแล้ว ผู้ประกอบการ SMEs อาจจะต้องสร้างความแตกต่างในเรื่องของวัตถุดิบที่รายใหญ่อาจจะไม่ทำ การตลาด และระดับราคาที่สามารถแข่งขันได้
นอกจากนี้ เมื่อมองไปข้างหน้า ผู้ประกอบการไทยที่มีศักยภาพ อาจจะมองหาตลาดส่งออกซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการขยายตลาด และอาจจะมีโอกาสเติบโตได้เร็วกว่าตลาดในประเทศ
เพราะด้วยพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ยังคงนิยมบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อยู่ อีกทั้งยังมีทางเลือกหลากหลายในการบริโภค
เพราะด้วยพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่ ยังคงนิยมบริโภคเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากสัตว์อยู่ อีกทั้งยังมีทางเลือกหลากหลายในการบริโภค
ดังนั้น การเติบโตของตลาดในประเทศ คงต้องอาศัยเวลาอีกสักระยะ ยกตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มาจากโปรตีนจากแมลง ซึ่งปัจจุบันได้รับการส่งเสริมการเลี้ยงเชิงพาณิชย์จากภาครัฐ เพื่อรับกับเทรนด์อาหารเพื่ออนาคต และสามารถเข้าไปทำตลาดได้บ้างแล้วในบางประเทศ เช่น เม็กซิโก รวมถึงสหภาพยุโรป
อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยเป็นสินค้านวัตกรรมอาหารใหม่ จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ประกอบการจะต้องศึกษาถึงกฎระเบียบและมาตรการทางการค้าของคู่ค้าแต่ละประเทศอย่างรอบคอบ