รู้จักเครื่องเดสก์ท็อปขนาดเล็กที่สุดในโลก ที่กำลังตอบโจทย์ คนทำงานยุคใหม่

ทุกวันนี้ เวลาจะเลือกซื้อคอมพิวเตอร์แต่ละครั้ง
นอกจากประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องแล้ว 
ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ก็น่าจะเป็นขนาดและน้ำหนักของตัวเครื่อง

โดยเฉพาะกลุ่มคนใช้คอมพิวเตอร์สำหรับทำงาน 
เนื่องจากในทางปฏิบัติแล้ว มีงานหลายประเภท ที่พนักงานไม่ได้นั่งประจำอยู่ที่ออฟฟิศ
และต้องเดินทางไปพบลูกค้า หรือแม้แต่ลงพื้นที่เพื่อไปดูสถานการณ์จริง

ประกอบกับเทรนด์การทำงานที่กำลังมาแรง อย่าง Work from anywhere 
ซึ่งออกแบบมาให้พนักงานทำงานจากที่ไหนก็ได้ 

ดังนั้นคอมพิวเตอร์ที่มาตอบโจทย์คนยุคนี้ จึงอาจต้องออกแบบมาให้เหมาะกับการพกพา 
โดยที่ยังสามารถคงศักยภาพการทำงานได้อย่างเต็มที่

ซึ่งถ้าพูดถึงเรื่องคอมพิวเตอร์ที่พกพาสะดวก เราอาจจะนึกถึง แล็ปท็อป

แต่ถ้าดูในส่วนของการใช้งานแล้ว แล็ปท็อป ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่หลายเรื่อง 
อย่างการเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสียหาย หรืออัปเกรดเฉพาะส่วนเพื่อให้เหมาะกับการใช้งานแต่ละประเภท
ทำให้ในหลายๆ ครั้ง การลงทุนกับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป อาจยังเป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่า

โดยเฉพาะงานที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น งานออกแบบ กราฟฟิกดีไซน์ หรือวิศวกรรม
ซึ่งจำเป็นต้องใช้โปรแกรมที่กินแบตเตอรี่ อย่างโปรแกรมตัดต่อวิดีโอ หรือโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูล 
รวมถึงหน่วยงานด้านสุขภาพ ซึ่งจำเป็นต้องประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เพื่อหาแนวทางในการรักษาคนไข้

ดังนั้นถ้าเรามีคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป ที่สามารถพกติดตัวไปไหนก็ได้ คงน่าสนใจไม่น้อย

ล่าสุด Lenovo ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและอุปกรณ์อัจฉริยะชั้นนำระดับโลก
ได้เปิดตัว ThinkCentre M90n-1 Nano และ ThinkCentre M90n-1 Nano IoT
คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เชิงพาณิชย์สำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจและองค์กร

โดยคอมพิวเตอร์ซีรีส์ ThinkCentre M90n-1 มาพร้อมนวัตกรรมล้ำสมัย ในขนาดกะทัดรัด 
แต่ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ทรงพลัง และประหยัดพลังงาน

เนื่องจาก Lenovo มองว่า การทำงานในยุคปัจจุบัน นอกจากการเลือกคอมพิวเตอร์ ที่มีประสิทธิภาพการทำงานแล้ว 
ปัจจัยเรื่องความคล่องตัวและการใช้งานที่หลากหลาย ก็เป็นอีกโจทย์สำคัญสำหรับการทำงานในยุคนี้

สำหรับ ThinkCentre M90n-1 Nano มาพร้อมกับ 8th Generation Intel® Core™ vPro™ i7 และหน่วยความจำแบบ SSD ทำให้สามารถจัดการไฟล์ขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำงานในหลายโปรแกรมได้พร้อมกันอย่างลื่นไหล

นอกจากนี้ยังมีหน่วยความจำ DDR4 รองรับความจุสูงสุดถึง 16GB
และ M.2 SSD แบบสองสล็อต เพิ่มพื้นที่การจัดเก็บข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการตอบสนองที่รวดเร็ว โดยไม่ต้องกังวลว่าจะกระทบพื้นที่ความจุของเครื่อง

ที่สำคัญคือ ทั้งหมดนี้มาในตัวเครื่องที่ขนาดเล็กกว่าวิดีโอเทป น้ำหนักเพียง 505 กรัม
ยกถือได้ด้วยมือข้างเดียว เหมือนกับถือโทรศัพท์มือถือ 

โดยมีพอร์ตรูปแบบ USB Type-C ทำให้เชื่อมต่อเข้ากับเดสก์ท็อปหรือมอนิเตอร์ได้อย่างสะดวก
ลดปัญหาสายไฟยุ่งเหยิง และยังประหยัดพื้นที่จัดวาง ในขณะที่ยังคงให้การทำงานที่เหนือขีดจำกัด

การทำงานของ ThinkCentre M90n-1 Nano จึงเทียบเท่ากับคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อปขนาดปกติ 
แต่สามารถประหยัดพลังงานได้มากถึง 30% ต่อปี

ส่วน ThinkCentre M90n-1 Nano IoT ถูกดีไซน์มาให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น ด้วยการออกแบบให้ไม่มีพัดลมระบายความร้อนในตัว

นอกจากนั้น ยังสามารถรองรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีอุณภูมิตั้งแต่ 0-50 องศาได้
และสามารถรองรับแรงการสั่นสะเทือนได้สูงขึ้น

ทำให้เหมาะต่อการพกพาไปทำงานนอกสถานที่ในทุกสภาวะแวดล้อม เช่น ในโรงงานการผลิต ที่มีอุณหภูมิสูง หรือตามไซต์งานก่อสร้างที่มีฝุ่นสะสม

ส่วนการประมวลผล ก็ได้ขุมพลัง 8th Generation Intel® Core™ vPro™ 
ช่วยให้สามารถใช้งานได้จากระยะไกลเมื่อเชื่อมต่อเข้ากับเครือข่าย (Remote) ทั้งระบุที่ตั้งของเครื่อง, เปิด-ปิด, ซ่อมแซม และล๊อกระบบในเครื่อง

ผู้ใช้งานจึงสามารถรักษาความปลอดภัย บำรุงรักษาระบบได้ทั้งเชิงรุก-เชิงรับ 
รวมถึงสามารถจัดการจากศูนย์กลาง เพื่อเพิ่มความเสถียรและประหยัดค่าใช้จ่าย

ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ ทำให้คอมพิวเตอร์ซีรีส์ ThinkCentre M90n-1 ของ Lenovo
เป็นหนึ่งในตัวเลือกของการลงทุนกับเทคโนโลยีที่คุ้มค่า และมีความยั่งยืน 

เนื่องจากคอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป เอื้อต่อการเปลี่ยนส่วนที่เสียหาย หรืออัปเกรดเฉพาะส่วน
เช่น การเปลี่ยนเฉพาะจอภาพ แป้นพิมพ์ หรือกราฟิกชิป พื้นที่จัดเก็บ 
ซึ่งเป็นการเพิ่มอายุการใช้งาน และยังลดการสร้างขยะไปในตัว

นอกจากนั้น การใช้งานคอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก ยังช่วยลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนลงได้อีกด้วย

สำหรับผู้ที่สนใจ ตอนนี้คอมพิวเตอร์ซีรีส์ ThinkCentre M90n-1 
พร้อมจำหน่ายแล้วในราคาเริ่มต้นที่ 13,900 บาท
สามารถดูข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมได้ที่ https://www.lenovo.com/th/th

#Lenovo #ThinkCentre #ThinkCentreNano #Intelvpro #Windows10