PRM ส่งซิก Q1/68 สดใส แย้มมีรายการพิเศษหนุน ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะหมื่นล้าน เดินหน้าทุ่มงบ 2-3 พันล้าน ขยายกองเรือเสริมแกร่งธุรกิจ 

PRM ส่งซิก Q1/68 สดใส แย้มมีรายการพิเศษหนุน ตั้งเป้ารายได้ปี 68 แตะหมื่นล้าน เดินหน้าทุ่มงบ 2-3 พันล้าน ขยายกองเรือเสริมแกร่งธุรกิจ 

8 เม.ย. 2025
PRM ส่งซิกผลงานไตรมาส 1/68 สดใส ตั้งเป้ารายได้ทั้งปี 2568 เติบโตแตะหมื่นล้านบาท หลังมีเรือใหม่ให้บริการเพิ่มขึ้น แย้มข่าวดีรับรู้รายได้พิเศษจากการจำหน่ายเรือ FSU 1 ลำในไตรมาส 1 พร้อมวางงบลงทุนปีนี้ 2,000 - 3,000 ล้านบาท ไว้สำหรับขยายกองเรือต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่ม Offshore Support Vessel (OSV) เชื่อว่ายังมีโอกาสโตต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีต่อจากนี้
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ ผู้อำนวยการสายการเงินและบัญชี บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) หรือ PRM ผู้นำธุรกิจขนส่งปิโตรเลียมทางทะเลครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่ารายได้ในปี 2568 จะเติบโตทำสถิติใหม่ จากการที่มีเรือใหม่เข้ามาให้บริการมากขึ้น ทั้งเรือ Hybrid Crew Boat จำนวน 2 ลำ ที่ให้บริการบริษัทน้ำมันแห่งชาติอาบูดาบี และเรือขนส่งและจัดเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมัน (FSO) อีกจำนวน 1 ลำ โดยเริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ทันทีตั้งแต่ไตรมาส 1/68 ที่ผ่านมาภายใต้สัญญาระยะยาว รวมถึงยังมีแผนรับเรือ Crew Boat ต่อใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 2 ลำ ในครึ่งแรกของปี 2568
พร้อมเผยแผนขยายธุรกิจต่อเนื่อง ด้วยงบลงทุน 2,000 - 3,000 ล้านบาท เพื่อขยายกองเรือในกลุ่มที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในระยะยาว ทั้งกลุ่มเรือขนส่งปิโตรเคมีเหลวที่ได้อานิสงส์จากความต้องการขนส่งปิโตรเคมีของลูกค้ากลุ่มโรงกลั่นต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจกลุ่ม Offshore Support Vessel (OSV) ที่ยังคงมีความต้องการใช้งานสูงในภูมิภาค อันเนื่องมาจากการขยายตัวของกิจกรรมสำรวจและผลิตในแถบอ่าวไทย และกลุ่มธุรกิจ OSV นี้ ยังถือเป็นธุรกิจดาวรุ่งที่จะเข้ามาเสริมเสถียรภาพให้กับรายได้ของบริษัทฯ ด้วยเช่นกัน
“การขยายธุรกิจไปในกลุ่ม OSV เป็นกลยุทธ์สำคัญที่จะช่วยลดความผันผวนของธุรกิจโดยรวม เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีสัญญาระยะยาวรองรับ ทำให้บริษัทฯ มีรายได้ที่มั่นคงแน่นอน” นายวิริทธิ์พล กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/68 มีแนวโน้มสดใสเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) หลังให้บริการเรือใหม่เพิ่มเติมตามที่กล่าวไปข้างต้น และการกลับมาให้บริการของ 2 เรือใหญ่ VLCC และ AWB ที่เข้าอู่ซ่อมในช่วงไตรมาส 4/67 พร้อมสร้างรายได้ที่มั่นคงต่อเนื่องต่อจากนี้
นอกจากนี้ ในไตรมาส 1/68 บริษัทฯ มีการจำหน่ายเรือกักเก็บและผสมน้ำมันกลางทะเล (FSU) 1 ลำ เนื่องจากเรือมีอายุการใช้งานมากตามกลยุทธ์ในการปรับลดอายุกองเรือ และเป็นการขายทำกำไรก่อนเพื่อป้องกันผลกระทบทางเศรษฐกิจการสงครามการค้า จึงเป็นจังหวะเหมาะสมในการขาย และจะเริ่มให้บริการเรือ FSU ลำใหม่ตามแผนในเดือน พ.ค. 68 ทำให้ยังคงมีเรือ FSU ให้บริการจำนวน 5 ลำเท่าเดิม พร้อมกันนี้การจำหน่ายเรือลำดังกล่าวยังเป็นรายได้พิเศษที่จะช่วยเสริมผลประกอบการในไตรมาสนี้ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
นายวิริทธิ์พล จุไรสินธุ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การจำหน่ายเรือออกไปในไตรมาสนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การบริหารจัดการสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไม่เพียงช่วยสร้างรายได้พิเศษเข้ามาเสริมผลประกอบการเท่านั้น แต่ยังเป็นการปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมตามสภาวะตลาด ขณะเดียวกัน การนำเรือใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงเข้ามาทดแทน จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว”
ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าผลกระทบจากสงครามการค้าและมาตรการภาษีของสหรัฐอเมริกา จะกระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในวงจำกัด เนื่องจาก PRM ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศและภูมิภาคอาเซียนเป็นหลัก และในปี 68 นี้ บริษัทฯ​ มุ่งขยายพอร์ตธุรกิจในกลุ่มที่มีศักยภาพสูง พร้อมรักษาประสิทธิภาพกองเรือให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร เพื่อผลักดัน PRM สู่เป้าหมายการเติบโต และสร้างรายได้ทะลุหมื่นล้านตามที่ตั้งใจไว้”
© 2025 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.