เบื้องหลังความสำเร็จ VST ECS สู่การเป็นบริษัทค้าส่งสินค้า IT ที่มียอดขายอันดับหนึ่งในเมืองไทย

เบื้องหลังความสำเร็จ VST ECS สู่การเป็นบริษัทค้าส่งสินค้า IT ที่มียอดขายอันดับหนึ่งในเมืองไทย

22 ส.ค. 2024
“ปีที่ผ่านมาเรามียอดขาย 38,000 ล้านบาท และปีนี้ แม้ตลาดสินค้า IT จะหดตัวจากภาวะเศรษฐกิจ แต่ด้วย Passion ของผมและคนในองค์กรที่ไม่เคยคิดจะหยุดนิ่ง ผมเลยกล้าตั้งเป้าหมายปีนี้ ว่าจะทำยอดขาย 40,000 ล้านบาท เติบโต 5.26%”
คุณสมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ VST ECS กล่าวถึงเป้าหมายอันท้าทายของบริษัท 
หลายคนอาจสงสัยว่า VST ECS ทำธุรกิจอะไร ?
ทำไมถึงมียอดขายมหาศาลขนาดนี้ ?
ก็ต้องบอกว่าธุรกิจของบริษัทนี้ ใกล้ตัวคนไทยเกือบทุกคน เพียงแต่เราอาจจะไม่เคยรู้มาก่อน
โดย VST ECS ดำเนินธุรกิจดิสทริบิวเตอร์ หรือค้าส่งให้ร้านค้า IT ต่าง ๆ กว่า 6,000 รายทั่วประเทศ มีไลน์อัปสินค้า IT ครอบคลุม เช่น โทรศัพท์มือถือ, PC & Notebook Software, อุปกรณ์เสริม IT ต่าง ๆ และอื่น ๆ โดยมีกว่า 70 แบรนด์ที่บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่าย 
นั่นแปลว่า เราอาจจะเคยซื้อสินค้า IT จากบริษัท VST ECS ผ่านร้านค้า IT ต่าง ๆ ทั่วประเทศ ที่น่าทึ่งกว่านั้น คือ บริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจมา 36 ปี และครองแชมป์ยอดขายในอุตสาหกรรมนี้มายาวนาน
คุณสมศักดิ์กล่าวกับทีมงาน MarketThink ว่า การที่ VST ECS มียอดขายแซงหน้าคู่แข่งอยู่เสมอในทุก ๆ ปี เกิดจากส่วนผสมที่แข็งแกร่งหลาย ๆ อย่าง 
โดยมีจุดศูนย์รวมแนวคิด ก็คือทุกการขับเคลื่อนจะต้องมี “สายสัมพันธ์และความจริงใจ” ซึ่งคู่แข่งอาจหลงลืม หรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก เพียงแต่คุณสมศักดิ์เชื่อว่านี่คือ “จุดตัด” ว่าใครจะยืนหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้  
“VST ECS ยึดมั่นในแนวทางการดำเนินธุรกิจค้าส่งมาโดยตลอด ไม่เคยมีความคิดที่จะทำร้านค้าปลีกมาแข่งขันกับร้านค้าของพาร์ตเนอร์เลย 
แม้จะตระหนักว่า หากเราทำเอง ย่อมสร้างความได้เปรียบในเรื่องของราคาได้มากกว่าก็ตาม ที่ผ่านมาเราเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าการทำธุรกิจค้าส่งให้ยั่งยืนนั้น บริษัทต้องเติบโตไปพร้อมกับพาร์ตเนอร์ร้านค้าทั่วประเทศของเรา” 
“ด้วยแนวคิดนี้ ส่งผลให้เราดำเนินธุรกิจร่วมกับร้านค้าพาร์ตเนอร์ด้วยความยืดหยุ่น ประกอบกับเรามีจุดเด่นในเรื่องของความแข็งแกร่งด้านการเงิน 
จึงเป็นที่มาของการพัฒนาโปรแกรมไฟแนนซ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของพาร์ตเนอร์ เช่น การทำระบบสินเชื่อลีสซิ่ง 0% นาน 6 เดือน ให้แก่ร้านค้าต่าง ๆ เพื่อช่วยสนับสนุนให้ร้านค้าสามารถมีเงินสดหมุนเวียนในธุรกิจของตนได้อย่างคล่องตัว
ในอีกมุมหนึ่งด้วยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ VST ECS (Thailand) ทำให้สามารถชำระเงินให้กับเจ้าของแบรนด์สินค้าต่าง ๆ ตรงเวลาที่กำหนด เพื่อให้ได้รับสินค้าที่ทันต่อความต้องการของตลาด”
ขณะเดียวกันคุณสมศักดิ์ยังให้ความสำคัญกับการเดินทางพบปะพูดคุยโดยตรงกับร้านค้า และพาร์ตเนอร์ทั่วประเทศอย่างสม่ำเสมอ ทำกิจกรรมร่วมกันมากมาย เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดความต่อเนื่อง 
เหตุผลเพราะการแข่งขันในธุรกิจดิสทริบิวเตอร์นั้น เราแทบไม่มีความต่างกันทั้งเรื่องราคา หรือแบรนด์สินค้าที่เป็นตัวแทนจำหน่าย ผู้เล่นทุกรายต่างสามารถนำเสนอได้เหมือนกันหมด
เมื่อคู่แข่งที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน มีข้อเสนอให้แก่ร้านค้าแทบจะเหมือนกันหมด คนที่จะกุมหัวใจร้านค้า IT ทั่วประเทศ จำเป็นที่จะต้องสร้างความต่าง และไม้ตายทางธุรกิจที่ VST ECS เลือกคือ “สายสัมพันธ์และความจริงใจ” ซึ่งก็ได้ผลลัพธ์ที่เกินคาดเลยทีเดียว  
ขณะเดียวกัน ณ เวลานี้อุตสาหกรรมสินค้า IT เผชิญกับความท้าทายด้านกำลังซื้อผู้บริโภคอ่อนแอ หากบริษัทไหนเจอสถานการณ์แบบนี้ ก็ย่อมตั้งเป้ายอดขายลดน้อยลง
แต่ไม่ใช่กับ VST ECS เมื่อบริษัทยังคงตั้งเป้ายอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง 
โดยในปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 40,000 ล้านบาท เติบโต 5.26%
โดยคุณสมศักดิ์ เผยเคล็ดลับที่จะไปถึงเป้าหมายนี้อยู่ 3 วิธีหลัก ๆ 
1. เมื่อตลาดไอทีอยู่ในภาวะชะลอตัว สิ่งที่ผมเน้นย้ำกับทีมงาน คือ “การเข้าไปกินแชร์ส่วนแบ่งตลาด” ให้มากขึ้น 
ล่าสุดบริษัทได้ลงทุนใหญ่ เปิดสำนักงานขายใหม่เพิ่มถึง 11 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วไทย พร้อมกับมีนโยบายเชิงรุกที่สนับสนุนร้านค้า IT ต่าง ๆ ให้สามารถดำเนินการค้าได้อย่างคล่องตัว 
และในอนาคตยังมีแผนที่จะขยายสำนักงานไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดตามหัวเมืองรองให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงลูกค้ารายย่อยได้ครอบคลุมที่สุด
2. อีกหนึ่งฐานตลาดที่แข็งแกร่งของ VST ECS (Thailand) คือ ธุรกิจกลุ่มลูกค้าองค์กรและหน่วยงานรัฐที่วางใจในความเป็นมืออาชีพและการบริการผ่านตัวแทนจำหน่ายของ VST ECS
ซึ่งดูแลลูกค้ากลุ่มนี้มาอย่างยาวนาน เสมือนกับทาง VST ECS ได้สร้างป้อมปราการขนาดใหญ่ จึงเป็นอีกหนึ่งฐานรายได้หลักที่เข้ามาช่วยสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี แม้ในวันที่ตลาดค้าปลีกสินค้า IT กำลังชะลอตัว
3. การขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ หรือที่เรียกว่า New S-Curve วิธีนี้คือการสร้างการเติบโตให้บริษัทผ่านธุรกิจใหม่ ๆ จนถึงการกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจเดิม โดย VST ECS ก็มีธุรกิจใหม่ ๆ มากมาย เช่น การเข้าสู่ธุรกิจจักรยานยนต์ไฟฟ้า
โดยล่าสุดได้ทำธุรกิจกับ Grab ส่งมอบมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าให้แก่พาร์ตเนอร์คนขับ ต่อมาคือธุรกิจอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง และธุรกิจสินค้า IT ในกลุ่ม Luxury
คุณสมศักดิ์ยังเสริมอีกว่า ในอนาคตบริษัทจะมีธุรกิจใหม่ ๆ เกิดขึ้นอีก พร้อมกับตั้งเป้าหมายในอีก 3 ปีข้างหน้า บริษัทจะมียอดขายสูงถึง 50,000 ล้านบาท 
โดยทุกเป้าหมายและความสำเร็จทางธุรกิจที่เกิดขึ้นไม่ใช่มาจากการเป็นผู้บริหารสไตล์ One Man Show แต่มาจากพนักงานทุกคน
คุณสมศักดิ์เล่าว่า บริษัทมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง และวิธีการบริหารคนอยู่ตลอดเวลา เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของพนักงานที่เป็นคนรุ่นใหม่และคนที่ทำงานอยู่มานาน เช่น การตัดขั้นตอนการทำงานที่ยุ่งยาก ลดกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้พนักงานไม่รู้สึกอึดอัด และรู้สึกว่ามีอิสระในการทำงานสูง   
“สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงทุกคนรู้ดีคือ เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง และต้องมีแนวคิดใหม่ ๆ พร้อมกับรักษาพนักงานรุ่นใหม่ ๆ ที่เก่ง มีความสามารถ ให้ทำงานกับเรานานที่สุด” 
เหมือนเส้นทางธุรกิจของ VST ECS จะโรยด้วยกลีบกุหลาบที่สวยงาม แต่ในความสวยงามนั้นกลับซ่อนความท้าทาย เมื่อคุณสมศักดิ์เสริมว่า การมาของ AI ในกลุ่มสินค้า IT กำลังทำให้พนักงานและตัวเขาจับตามองอย่างใกล้ชิด
“ณ วันนี้ แบรนด์ IT ต่างนำเสนอ AI แต่เรายังไม่เห็นแบรนด์ไหนที่สร้างเทคโนโลยี AI ที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของคนไทยอย่างชัดเจน แน่นอนหากเราเห็นว่าแบรนด์ไหนทำเรื่องนี้ เราก็จะรีบคว้าโอกาสนี้ไว้” 
เป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมงที่ทีม MarketThink ได้พูดคุยกับคุณสมศักดิ์ 
สิ่งหนึ่งที่เรารับรู้ก็คือ ตลอดเวลา 36 ปี บนเส้นทางธุรกิจของบริษัท VST ECS 
บริษัทพร้อมจะปรับตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเรียนรู้อย่างไม่มีวันสิ้นสุด และพนักงานทุกระดับจะต้องมี Mindset เหล่านี้ ทำให้ไม่ว่าโลกธุรกิจจะเปลี่ยนกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง VST ECS ก็ยังยืนหนึ่งในอุตสาหกรรมนี้ อย่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปไหน
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.