“เซ็นทรัลพัฒนา” เติบโตและแข็งแกร่งทุกภาคส่วน เผยผลประกอบการปี 2566 ทำรายได้รวม 46,790 ล้านบาท โต 26% และกำไร 15,062 ล้านบาท โต 40% พร้อมประกาศปันผลนิวไฮที่หุ้นละ 1.80 บาท
1 มี.ค. 2024
บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำเบอร์หนึ่งอสังหาริมทรัพย์ไทยเพื่อความยั่งยืน และผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าเซ็นทรัล โครงการที่อยู่อาศัย โรงแรม และอาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศภายใต้วิสัยทัศน์ Imagining better futures for all รายงานผลประกอบการประจำปี 2566 มีรายได้รวม 46,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากปีก่อน และกำไรสุทธิ 15,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปีก่อน
จากความสำเร็จของผลประกอบการปี 2566 ของบริษัทฯ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดี ที่มีผลต่อเศรษฐกิจไทยมิใช่เพียงองค์กร ซึ่งสอดรับกับความมุ่งมั่นในการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชน และการสร้างงานกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น พร้อมการจับมือพันธมิตรสร้างความเติบโตให้ทุกภาคส่วนใน The Ecosystem for All รวมถึงการเป็นองค์กรเบอร์หนึ่งด้านความยั่งยืนระดับโลก จากการติดอันดับ DJSI World 2023 ด้วยคะแนนสูงสุดในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ 299 องค์กรทั่วโลก
เผยความสำเร็จในการขยายโครงการในปี 2566 ธุรกิจหลักทุกรูปแบบเติบโต โดยมี Retail-Led เป็นหัวใจสำคัญ โดยเปิดตัวโครงการใหม่ ได้แก่ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เวสต์วิลล์, คอนโด เอสเซ็นท์ เพชรบุรี, เอสเซ็นท์ บุรีรัมย์, บ้านนิรติ นครศรี, บ้านนิรดา พระราม 2, บ้านนิรดา อุทยาน-อักษะ และโรงแรมเซ็นทารา อยุธยา ภายในโครงการมิกซ์ยูสเซ็นทรัล อยุธยา นอกจากนี้ในช่วงต้นปี 2567 ได้เปิดโครงการใหม่ “เซ็นทรัล นครสวรรค์” (เปิดแล้ว 31 ม.ค. 67) ได้รับกระแสตอบรับล้นหลาม พร้อมเดินหน้าเปิด “เซ็นทรัล นครปฐม” (30 มี.ค. 67) ยกระดับศักยภาพและสร้างแลนด์มาร์กใหม่ของเมือง
นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงิน บัญชี และบริหารความเสี่ยงของเซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 4 ปี 2566 ของบริษัทฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดยเฉพาะรายได้จากธุรกิจศูนย์การค้าและที่อยู่อาศัย ซึ่งธุรกิจศูนย์การค้าสามารถทำกำไรขั้นต้นได้สูงสุดเป็นประวัติการโดย บริษัทฯ มีกำไรสุทธิในไตรมาส 4 ที่ 3,976 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 42 จากปีก่อนหน้า ขณะที่เมื่อพิจารณาภาพรวมปี 2566 บริษัทฯ มีรายได้รวมและกำไรสุทธิตามงบการเงินสูงสุดเป็นประวัติการที่ 46,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากปีก่อนหน้า และ 15,062 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40 จากปีก่อนหน้าตามลำดับ
วิเคราะห์ผลลัพธ์เชิงบวกนี้ได้ 3 ปัจจัย คือ 1) การฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศ ทั้งจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมทั้งกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ และการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูล The 1 ร่วมกันระหว่างบริษัทฯ และผู้เช่า ส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของยอดขายผู้เช่าและรายได้ค่าเช่าของบริษัทฯ; 2) รายได้จากโรงแรมใหม่และการโอนโครงการบ้านเดียวและคอนโดมิเนียม ในครึ่งปีหลัง 2566 มีการเพิ่ม 2 โครงการผสม (Mixed-use Project) ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานีและพระนครศรีอยุธยา 3) การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ในการบริหารจัดการ (ESG Initiative) ช่วยให้บริษัทฯ สามารถใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเพิ่มอัตรากำไรจากการดำเนินงาน
ขณะเดียวกัน ในไตรมาส 4 ปี 2566 บริษัทฯ เดินหน้าแผนขยายธุรกิจสำเร็จในรูปแบบ ‘Retail-Led Mixed-Use Development’ ดังนี้ ธุรกิจศูนย์การค้า (Shopping Centre) เปิดศูนย์การค้า ‘เซ็นทรัล เวสต์วิลล์’ ศูนย์กลางแห่งใหม่ของกรุงเทพฝั่งตะวันตกในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจัดเป็นโครงการ semi-outdoor ที่คำนึงถึงคุณภาพการใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติของผู้คน สัตว์เลี้ยง และดูแลสิ่งแวดล้อมซึ่งได้รับผลตอบรับดีตั้งแต่วันเปิดโครงการ ธุรกิจโครงการที่อยู่อาศัย (Residence) เปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม ‘เอสเซ็นท์ บุรีรัมย์’ และโครงการบ้านเดี่ยวอีก 2 แห่ง คือ ‘บ้านนิรดา พระราม 2’ ในเดือนตุลาคม และ ‘บ้านนิรดา อุทยาน-อักษะ’ ในเดือนธันวาคม ธุรกิจโรงแรม (Hotel) เปิดตัวโครงการ ‘โรงแรมเซ็นทารา อยุธยา’ เพื่อเติมเต็มโครงกานรมิกซ์ยูสเซ็นทรัล อยุธยา สำหรับปี 2567 บริษัทฯ พร้อมสร้างความเติบโตให้กับทุกภาคส่วนใน The Ecosystem for All เตรียมเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง ล่าสุดได้เปิดศูนย์การค้า ‘เซ็นทรัล นครสวรรค์’ ในวันที่ 31 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา และเตรียมเปิด ‘เซ็นทรัล นครปฐม’ ปฐมบทใหม่แห่งการใช้ชีวิตในวันที่ 30 มีนาคม 2567
ในปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนา ยังมีการดำเนินการด้าน ESG อย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทฯ ได้รับการคัดเลือกให้เป็นสมาชิกของดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices: DJSI) ก้าวสู่อันดับ 1 องค์กรยั่งยืนระดับโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรมบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Top 1% S&P Global Score) จากจำนวนทั้งหมด 299 บริษัททั่วโลก จากการประมวลผลของ S&P Global Sustainability Yearbook 2024 ซึ่งตอกย้ำความสำเร็จของโมเดลธุรกิจ The Ecosystem for all นอกเหนือจากนี้ centralwOrld Offices ยังได้รับการรับรอง Leadership in Energy & Environmental Design (LEED) ระดับ ‘Gold’ จากกระบวนการออกแบบบูรณาการ ที่ผสมผสานเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ เข้ากับมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานไฟฟ้า ทำให้ลดการปล่อยคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้อย่างดี
“จากความสำเร็จของผลประกอบการปี 2566 ของบริษัทฯ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีทั้งต่อองค์กรและเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยหากพิจารณาเศรษฐกิจไทยในปี 2566 พบว่า เติบโตที่ร้อยละ 1.9 จากปีก่อนหน้า มาจากการบริโภคภาคเอกชนเป็นหลักและมีทิศทางดีขึ้นจากปีก่อนหน้า ด้วยอัตราการว่างงานที่ลดลงและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส 4 ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 55.2 ถือเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 16 ไตรมาส ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนเติบโตร้อยละ 7.4 จากปีก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มที่พักและบริการด้านอาหารที่เติบโตร้อยละ 12.8 ตามด้วยกลุ่มสินค้าไม่คงทนที่ ร้อยละ 4.5 และสินค้าคงทน ร้อยละ 3.6 ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้เป็นปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 ปี 2566
ทั้งนี้บริษัทฯ ได้จัดแคมเปญการตลาดกระตุ้นการจับจ่ายและท่องเที่ยวของประชาชนอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน โดยทุ่มงบเนรมิตความสนุกระดับโลกส่งท้ายปี จับมือ Pokémon จัดแคมเปญ ‘The Great Celebration 2024’ ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และตอกย้ำความสำเร็จ เซ็นทรัลเวิลด์ยื่นหนึ่ง World’s Entertainment Countdown อันดับหนึ่งตลอดกาล แลนด์มาร์กฉลองเคานต์ดาวน์สุดยิ่งใหญ่ยาวนานกว่า 2 ทศวรรษพร้อมสร้างปรากฏการณ์ ‘Thailand Countdown 2024’ เคานต์ดาวน์แลนด์มาร์กที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล 13 สาขาทั่วประเทศ และในปี 2567 สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์ฯ) คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่ร้อยละ 2.2-3.2 จากการบริโภคภาคเอกชนและการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นหลัก และคาดว่าการบริโภคของภาคเอกชนในปี 67 จะเติบโตร้อยละ 3 จากการ ฟื้นตัวของตลาดแรงงานและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค” นางสาวนภารัตน์กล่าวทิ้งท้าย
ณ สิ้นไตรมาส 4 ปี 2566 เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้ารวม 40 โครงการ ได้แก่ ศูนย์การค้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 17 โครงการ ต่างจังหวัด 21 โครงการ ในมาเลเซีย 1 โครงการ โครงการกิจการร่วมค้า (เมกา บางนา) 1 โครงการ และโครงการคอมมูนิตี้ มอลล์ 17 โครงการ มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 2.3 ล้านตร.ม. นอกจากนี้ ยังบริหารศูนย์อาหาร 33 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 9 แห่ง โครงการที่พักอาศัย 33 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบ ภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN (ทาวน์โฮม) ESCENT AVENUE (โฮมออฟฟิศ) NINYA (บ้านแฝด) NIYAM (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) NIRATI (โครงการผสม) และบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ BANN NIRATI และ BANN NIRADA รวมทั้งโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ‘ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค’ ซึ่งจะเริ่มทยอยเปิดให้บริการในปี 2567 เป็นต้นไป