สรุปกลยุทธ์ธุรกิจ Minor ขยายโรงแรมเพิ่ม 500 แห่ง เปิดร้านอาหารเพิ่ม 1,000 สาขา ใน 3 ปี
9 ก.พ. 2024
ในวันนี้ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) รายงานผลประกอบการประจำปี 2566 มีกำไรสุทธิ 7,132 ล้านบาท
ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไร MarketThink สรุปให้อ่าน ในโพสต์นี้
ในปี 2566 ที่ผ่านมา Minor International มีรายได้จากการดำเนินงาน อยู่ที่ 153,486 ล้านบาท และผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน 7,132 ล้านบาท
ส่วนเฉพาะในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 นั้น นั้น Minor International มีผลกำไรจากการดำเนินงาน 2,501 ล้านบาท
และหากเจาะลึกเป็นรายธุรกิจ จะพบว่า Minor International มีรายได้จากธุรกิจต่าง ๆ ในสัดส่วนดังนี้
- รายได้จากธุรกิจโรงแรม และอื่น ๆ ในสัดส่วน 78%
- รายได้จากธุรกิจร้านอาหาร ในสัดส่วน 20%
- และรายได้จากการจัดจำหน่าย และรายได้อื่น ในสัดส่วน 2%
ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ผ่านมา Minor Hotels มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน ของโรงแรมในประเทศไทย ยุโรป และลาตินอเมริกา
เติบโต 15% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปีก่อนหน้า และสูงกว่าปี 2562 ในสัดส่วน 23%
ในขณะที่ รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน ตลอดทั้งปี 2566 เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปี 2565 และเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับปี 2562
ส่วนภาพรวมของธุรกิจร้านอาหารของ Minor Food ในปี 2566 นั้น มียอดขายรวมทุกสาขา เพิ่มขึ้น 11% ในปี 2566
เป็นผลมาจากการฟื้นตัว ของการรับประทานอาหารภายในร้าน รวมถึงกลยุทธ์ด้านการตลาด การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ ๆ
นอกจากนี้ Minor Internaional ยังได้ให้ข้อมูลถึง กลยุทธ์การทำธุรกิจ ในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้านี้ (ปี 2567 - 2569) โดยแบ่งเป็น 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1. กลยุทธ์การขยายธุรกิจเพิ่มเติม
โดยแบ่งเป็น การขยายธุรกิจโรงแรมเพิ่มเติมอีก 200 - 500 แห่ง จากเดิมที่ Minor Hotels มีโรงแรมอยู่ 532 แห่ง ให้กลายเป็น 780 แห่ง
ปัจจุบัน โรงแรมของ Minor Hotels จำนวน 532 แห่ง แบ่งเป็นโรงแรมที่ลงทุนสร้างเอง 365 แห่ง และโรงแรมที่รับจ้างบริหารอีก 167 แห่ง
ที่ผ่านมา Minor Hotels มีการเพิ่มโรงแรมรับจ้างบริหาร 3 แห่ง ในกรุงปารีส ภายใต้แบรนด์เอ็น เอช และเอ็นเอช คอลเลคชั่น
และมีการเปิดตัวโรงแรมใหม่ ๆ ในต่างประเทศ เช่น
- โรงแรมอนันตราในกรุงเวียนนา
- โรงแรมเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ
- โรงแรมอนันตรา และอวานี ในซาอุดีอาระเบีย
ควบคู่ไปกับการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ ในตลาดตะวันออกกลาง และเปิดตัวโรงแรมรับจ้างบริหาร ในประเทศจีนอีกหลายแห่ง เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ
ส่วนในด้านธุรกิจร้านอาหาร ของ Minor Food นั้น มีแผนขยายร้านอาหารเพิ่มเติมอีกราว 1,000 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 2,645 สาขา ให้กลายเป็น 3,700 สาขา ในช่วงเวลา 3 ปีข้างหน้านี้
หากเจาะลึกลงไปที่ตัวเลขสาขาของร้านอาหารในเครือ Minor Food ในปัจจุบัน จำนวน 2,645 สาขา จะแบ่งเป็นร้านอาหารที่ลงทุนเอง 1,337 สาขา
และอีก 1,308 สาขา ที่เหลือ เป็นร้านอาหารที่เป็นแฟรนไชส์
สิ่งที่น่าสนใจ ก็คือ Minor Food มีแผนนำร้านอาหารในเครือ ขยายสาขาไปยังต่างประเทศเพิ่มเติม
เช่น การเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในประเทศเวียดนาม และอินโดนีเซีย ภายใต้แบรนด์ Sizzler, THE COFFEE CLUB และ The Pizza Company
และการเข้าซื้อกิจการ Dairy Queen เพื่อดำเนินงานในประเทศอินโดนีเซีย พร้อมเปิด The Pizza Company, GAGA และ Swensen'sในประเทศอินโดนีเซีย อีกด้วย
2. ใช้กลยุทธ์ Asset Light ในการขยายธุรกิจ
การทำสัญญารับจ้างบริหารโรงแรม และการทำแฟรนไชส์ร้านอาหาร ซึ่งเป็นการลงทุนที่ใช้เงินลงทุนน้อยลง ไม่ต้องลงทุนด้วยตัวเองทั้งหมด
ซึ่งกลยุทธ์นี้ จะทำให้เกิดการเติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมไปกับการใช้เงินลงทุนให้น้อยที่สุด และการมุ่งเน้นในตลาดที่มีการเติบโตสูงนอกเหนือจากตลาดอื่น
3. กลยุทธ์ลดอัตราส่วนหนี้สิน ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น
เป้าหมาย 3 ปี ข้างหน้าของ Minor International ไม่เพียงแต่จะเพิ่มส่วนของกำไร แต่จะมีส่วนเพิ่มกระแสเงินสดจากการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ
เงินสดดังกล่าวจะถูกนำมาใช้ในแผนการลดหนี้ โดยตั้งเป้าไปที่ การลดอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจาก 1.0 เท่า ณ สิ้นปี 2566 เป็น 0.8 เท่าภายในสิ้นปี 2567
กลยุทธ์ดังกล่าวนี้ จะทำให้ Minor International สามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของผลกำไร ในสภาวะดอกเบี้ยสูง
สถานะการเงินของ Minor International ที่แข็งแกร่งขึ้นจะสามารถส่งเสริม ให้บริษัทมุ่งเน้นไปที่โอกาสสำคัญในการเติบโตด้วยการผสมผสานกับการเติบโตด้วยรูปแบบ Asset light