เจาะแผนธุรกิจ “แสนสิริ” ก้าวสู่ปีที่ 40 กับกลยุทธ์เติบโตระยะยาว “ยืนหยัด ยั่งยืน”

เจาะแผนธุรกิจ “แสนสิริ” ก้าวสู่ปีที่ 40 กับกลยุทธ์เติบโตระยะยาว “ยืนหยัด ยั่งยืน”

30 ม.ค. 2024
หนึ่งใน​ Key Success ที่ทำให้ “แสนสิริ” ซึ่งเริ่มต้นจากทาวน์เฮาส์ 2 คูหา มีพนักงานไม่ถึง 10 คน ทะยานสู่ผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ
สามารถฟันฝ่าวิกฤติมานับไม่ถ้วน จนก้าวสู่ปีที่ 40 ได้อย่างแข็งแกร่ง
ไม่ใช่การเติบโตเพราะอยู่มานาน
แต่มาจากแนวคิดในการทำธุรกิจที่ยืดหยุ่น พร้อมเปลี่ยนแปลง รวดเร็ว และต่อเนื่อง
แต่ถ้าถามต่อว่า ครบรอบ 40 ปีแล้ว จากนี้ แสนสิริ จะเติบโตในทิศทางใด ?
ในงานแถลงข่าวประกาศแผนธุรกิจของแสนสิริในปี 2567 เมื่อเร็ว ๆ นี้
คุณอภิชาติ จูตระกูล แม่ทัพใหญ่แห่งแสนสิริ ได้เฉลยให้เห็นถึงทิศทางในการสร้างการเติบโตเพื่อก้าวสู่ทศวรรษใหม่อย่างน่าสนใจว่า จากนี้แสนสิริจะเดินหน้าด้วยแนวคิด “RESILIENT GROWTH - ยืนหยัด ยั่งยืน”
ด้วยการนำศักยภาพ ความเชี่ยวชาญ นวัตกรรมที่สั่งสมมาต่อยอดธุรกิจ พร้อมขับเคลื่อนการทำงานในองค์รวม เพื่อส่งมอบสินค้าและบริการให้กับผู้บริโภคอย่างตรงใจ และโดดเด่นเหนือคู่แข่ง
ควบคู่ไปกับการใส่ใจสังคม และการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง
นอกจากแสนสิริ จะถือโอกาสก้าวสู่ปีที่ 40 ด้วยการประกาศแผนธุรกิจที่มีการปักธงอย่างชัดเจนแล้ว
เป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของแสนสิริในปีนี้ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

เพราะเป็นอีกปีที่แสนสิริ ตั้งเป้าว่า จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่
ด้วยตัวเลขผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
หลังจากปีที่ผ่านมาแสนสิริสามารถเปิดตัวโครงการใหม่ 44 โครงการ มูลค่ารวมสูงถึง 65,000 ล้านบาท
มีเป้าหมายกำไรสุทธิ ที่คาดว่าแสนสิริจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์ใหม่กับผลประกอบการที่ดีที่สุดในรอบ 40 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท
สร้างสถิติใหม่ All-Time High เติบโตจากปีก่อนหน้า 50% และโตขึ้นจากช่วงวิกฤติโรคระบาดถึง 10 เท่า
ดังนั้น ในเมื่อปีที่แล้ว แสนสิริสร้างฐานมาดี ปีนี้ฟอร์มก็ต้องพุ่งทะลุ
พร้อมต่อยอดความสำเร็จด้วยแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้น 46 โครงการ มูลค่า 61,000 ล้านบาท
แบ่งเป็นแนวราบ 26 โครงการ มูลค่ารวม 35,000 ล้านบาท
คอนโดมิเนียม 20 โครงการ มูลค่า 26,000 ล้านบาท
ตั้งเป้ายอดขาย 52,000 ล้านบาท และเป้าหมายยอดโอนที่ 43,000 ล้านบาท

ทีนี้ลองมาเจาะลึกกันว่า เบื้องหลัง 46 โครงการของแสนสิริที่จะเผยโฉมในปีนี้ น่าสนใจขนาดไหน ?
สำหรับโครงการแนวราบ ที่จะเปิดตัวในปีนี้ มีทั้งโครงการที่ต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ที่มีอยู่เดิม
อย่างในกลุ่ม Sansiri Luxury Collection 2 โครงการ ได้แก่
- บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี “นาราสิริ บางนา กม. 10” มูลค่าโครงการ 3,800 ล้านบาท ราคา 45-70 ล้านบาท
- แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีในตำนาน กับการเปิดตัวเศรษฐสิริ รวม 7 โครงการ มูลค่ารวม 14,400 ล้านบาท
ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ ระดับซูเปอร์ลักชัวรีและลักชัวรีไทยตัวจริง
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนเดินหน้ารุกตลาดแนวราบ ในระดับราคาเข้าถึงง่าย
ผ่านแบรนด์สราญสิริ ที่มาพร้อมจุดขายบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว รวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 9,100 ล้านบาท
และอณาสิริ รวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังเตรียมขยายพอร์ตแนวราบ เปิดตัว 2 แบรนด์ใหม่ ได้แก่ “ณริณสิริ” (Narinsiri) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ระดับพรีเมียม และ “มาเบิล” (Mabel) แบรนด์บ้านเดี่ยวใหม่ ระดับราคาเข้าถึงง่าย
ส่วนการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ แสนสิริเน้นขยายการลงทุนไปยังหัวเมืองท่องเที่ยวมากขึ้น
เริ่มจากกลุ่มคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรีขึ้นไป
ประเดิมด้วยการเปิดขาย “เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ หัวหิน” Branded Residence แห่งแรกในเอเชีย และแห่งที่ 3 ของโลก
ภายใต้เดอะ สแตนดาร์ด แบรนด์บูทีคไลฟ์สไตล์โฮเต็ลชั้นนำระดับโลก มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดตัว เวีย (VIA) 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2,500 ล้านบาท
บนสุดยอดทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์ แต่ซัพพลายน้อย ในย่านสุขุมวิท 34 และ 61
ต่อยอดตลาดคอนโดมิเนียมราคาเข้าถึงง่าย กับการเปิดตัว ดีคอนโด รวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,800 ล้านบาท พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในกลุ่มแบรนด์เดอะ มูฟ และคอนโดมี ต่อเนื่อง
พร้อมรีเฟรชแบรนด์เดอะ เบส เพื่อรองรับการเปิดตัวในปีนี้ รวม 2 โครงการ มูลค่าราว 3,600 ล้านบาท
​คำถามคือ นอกจากการยกทัพโครงการใหม่ ๆ มาเสริมทัพ
แสนสิริ ยังมีกลยุทธ์อย่างไร เพื่อพิชิตยอดขาย 52,000 ล้านบาท ที่ตั้งไว้
เพราะแม้ว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มฟื้นตัว แต่ก็ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ​
เพื่อพิชิตยอดขาย 52,000 ล้านบาท ที่ตั้งไว้ สร้างความแข็งแกร่งให้องค์กร พร้อมรับมือทุกสถานการณ์
และรักษาอันดับความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัย ​
แสนสิริได้วาง​ 3 กลยุทธ์หลัก ดังนี้
1. รักษาระดับผลประกอบการให้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยการเพิ่มสัดส่วนการเปิดตัวโครงการให้มากขึ้น โดยเฉพาะโครงการแนวราบ
ควบคู่ไปกับการใช้เงินลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รักษาสภาพคล่องให้อยู่ในระดับที่สูง
นอกจากนี้แสนสิริยังมุ่งสร้างผลตอบแทนสูงสุดกับผู้ถือหุ้นจากผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง
เพื่อให้นักลงทุนได้รับเงินปันผลที่สูงขึ้นในอนาคต
จากสถิติการจ่ายปันผลที่มาพบว่า Dividend Yield ปีล่าสุด 2566 อยู่ที่ 12.4%
2. บริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขัน ควบคู่ไปกับการเน้นเรื่องวินัยในการลงทุนมากกว่าคว้าทุกโอกาสที่เข้ามา
กลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้บริษัทเติบโต คือ ต้องมีของขายมากขึ้น และขายให้ได้มากขึ้น
ในปี 2564 หลังจากเกิดสถานการณ์โรคระบาด ในปีนั้น แสนสิริมีโครงการที่พร้อมขายประมาณ 99 โครงการ
หลังจากนั้น ก็มีจำนวนโครงการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
โดยในปี 2567 จะมีโครงการพร้อมขายทั้งสิ้น 174 โครงการ
แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 70% โครงการคอนโดมิเนียม 30%
ที่น่าสนใจคือ เมื่อรวมโครงการเปิดใหม่ในปีนี้ แสนสิริจะมียูนิตพร้อมขายทั่วประเทศ รวมมูลค่า 146,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้แสนสิริจะมีรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องใน 3 ปีข้างหน้า
นอกจากจะขยายพอร์ตแล้ว แสนสิริ ยังพร้อมขยายโอกาสในการลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน
ขณะเดียวกันยังรุก Strategic Location หัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ มีโรดแม็ปการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ชัดเจน
เพื่อรับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว และเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ ได้แก่ ภูเก็ต เชียงใหม่ พัทยา หัวหิน
โดยในปีนี้ แสนสิริวางแผนจะเปิดตัวโครงการในต่างจังหวัดทั้งหมด 13 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท โตกว่าปีก่อนหน้าถึง 170%
สำหรับ Strategic Location อย่างภูเก็ต ได้มีการจัดทำแผนกลยุทธ์ 5 ปี ในการเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท
รวมถึงวางแผนเปิดตัว Sansiri Hub หรือออฟฟิศของแสนสิริในจังหวัดภูเก็ตด้วย
นอกจากนี้ยังสานต่อโมเดล Sansiri Community ในแต่ละทำเลที่แสนสิริเข้าไปพัฒนาโครงการ และยกระดับให้เป็นสังคมอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ อีก 4 คอมมิวนิตี ได้แก่ ศรีนครินทร์-แพรกษา, บางนา กม. 10, ศรีวารี และวงแหวน-ลำลูกกา หลังจากก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จมาแล้ว 8 คอมมิวนิตี ​

3. ให้ความสำคัญกับสินค้า บริการ และความยั่งยืน
แสนสิริยังคงรักษามาตรฐานความเป็นหนึ่งของวงการอสังหาริมทรัพย์ในทุกมิติ ตั้งแต่การออกแบบ ทำเล รวมไปถึงการบริหารจัดการที่อยู่อาศัย ด้วยทีมงานมืออาชีพจากบริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด
พร้อมส่งมอบคุณภาพการใช้ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนให้กับลูกค้า และ Stakeholder ที่เกี่ยวข้อง
อย่างที่เกริ่นไปตอนต้นว่า นอกจากแสนสิริจะมุ่งมั่นพัฒนาธุรกิจให้เติบโตพร้อมก้าวสู่ทศวรรษใหม่
ความยั่งยืนก็เป็นอีกแกนหลักที่แสนสิริให้ความสำคัญ
หลายคนอาจไม่รู้ว่า แสนสิริเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทย ที่ตั้งเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero) ภายในปี 2593
โดยในปี 2566 แสนสิริได้ลดคาร์บอนไปแล้วกว่า 1,200 ตันคาร์บอน
และในปี 2567 แสนสิริยังคงเดินหน้านวัตกรรมบ้านสีเขียว หรือ Green Living Designed Home
เริ่มตั้งแต่การออกแบบ ก่อสร้าง จนถึงการส่งมอบบ้านพลังงานสะอาด เพื่อให้ลูกบ้านได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างสมบูรณ์
จากนี้ไป ก็น่าติดตาม แผนธุรกิจ เพื่อยืนหยัด ยั่งยืน ของแสนสิริ จะทรงพลัง และพาให้แสนสิริพิชิตเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้หรือไม่
แต่เชื่อว่า หลังจากนี้ใครที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม
คงต้องมีชื่อของ “แสนสิริ” เป็นหนึ่งในตัวเลือกอย่างแน่นอน..
© 2024 Marketthink. All rights reserved. Privacy Policy.